นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานในปี 2564 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเป็น บลจ.อันดับ 1 ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า หรือ The Most Advanced Technology & Trusted Partner AMC โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ
ในปี 2563 บลจ.ไทยพาณิชย์มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) รวม 1,612,418 ล้านบาท เป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 19.48% ประกอบด้วยกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) มี AUM อยู่ที่ 506,542 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 25.41% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) มี AUM อยู่ที่ 164,047 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 13.14% และธุรกิจกองทุนรวม (Mutual Fund) มี AUM อยู่ที่ 941,830 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 18.70% ซึ่งรวมทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มูลค่ารวม 53,292 ล้านบาท และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 188,224 ล้านบาท (ข้อมูลจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2563)
สำหรับการลงทุนในปี 2564 ได้แนะนำธีมที่น่าสนใจลงทุน ประกอบด้วย 1) ตลาดหุ้น Asia ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่มีท่าทีผ่อนคลายลง
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียยังมีความน่าสนใจสูง เช่น Tencent, Alibaba, Samsung และ TSMC ซึ่งมีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังสูงกว่ากลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ ในขณะที่มูลค่าพื้นฐาน (12-month Forward P/E) ที่ถูกกว่า
2) ตลาดหุ้นกลุ่ม Domestic Play ซึ่งประกอบด้วย จีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเดินทางข้ามพรมแดนอยู่ แม้จะมีวัคซีนป้องกัน COVID-19 แต่คาดว่าวัคซีนจะเริ่มมีการแจกจ่ายอย่างแพร่หลายในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้กลุ่มประเทศที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมีความน่าสนใจ
3) Short-Duration Credits สำหรับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในปีหน้าอาจมีความน่าสนใจน้อยลง แต่หากเปรียบเทียบในกลุ่มตราสารหนี้ พบว่ากลุ่มตราสารประเภท High Yield ที่มีอายุสั้น มีความน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับตราสารหนี้กลุ่มอื่น อาทิ Investment grade ซึ่งมีส่วนต่างอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ภาครัฐค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
“ในปี 2564 คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังคงได้รับปัจจัยบวกจากความคืบหน้าเรื่องวัคซีนป้องกัน COVID-19 ซึ่งจะมีการแจกจ่ายให้แก่ประเทศพัฒนาแล้วเป็นอันดับแรก และคาดว่าจะเริ่มมีการแจกจ่ายในเอเชียในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะเป็นปัจจัยส่งเสริมการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับแรงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางนโยบายการเงินและการคลัง โดยคาดว่าธนาคารกลางหลัก (สหรัฐฯ จีน และยุโรป) จะยังคงดำเนินมาตรการนโยบายการเงินผ่อนคลาย ด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ และทำ QE อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดทอนผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ซึ่งจะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดอยู่ในระดับที่สูง” นายณรงค์ศักดิ์กล่าวเพิ่มเติม