xs
xsm
sm
md
lg

คาดสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นต่างประเทศผันผวน ขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บลจ.วรรณ คาดสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นต่างประเทศผันผวน ขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น โดยภาพการลงทุนระยะสั้นถัดจากนี้ตลาดอาจจะมีการพักฐานระดับหนึ่ง แต่มองว่าเป็นโอกาสสะสมหุ้นที่แนวโน้มเติบโตดี

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นต่างประเทศในสัปดาห์หน้ามีแนวโน้มผันผวนสูงขึ้น จากงบการเงินบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกในไตรมาส 4 ปีที่แล้วรายงานออกมาเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาตลาดได้รับรู้ไปพอสมควร จึงน่าจะขาดปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้นและอาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วนจากราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ต้นปี

โดยภาพการลงทุนระยะสั้นถัดจากนี้ตลาดอาจจะมีการพักฐานระดับหนึ่ง แต่มองว่าเป็นโอกาสสะสมหุ้นที่แนวโน้มเติบโตดี มีนวัตกรรมตอบโจทย์ผู้บริโภคทำให้เกิดการซื้อ/ใช้บริการซ้ำ ซึ่งนำมาสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของรายได้ อีกทั้งสภาพคล่องในระบบการเงินทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูงถือเป็นปัจจัยหนุนตลาด และเรายังไม่เห็นสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินและการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้

"กลยุทธ์การเลือกลงทุนในกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ถือว่าเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะสั้นที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งล่าสุดกองทุนเปิด วรรณโกลบอล ท็อป 8M11 (ONE-GLOBALTOP8M11) สามารถสร้างสถิติหน้าใหม่สำหรับกองทริกเกอร์ฟันด์ตลาดต่างประเทศ โดยมียอดจองซื้อเต็มจำนวน 4 พันล้านบาทภายในเพียง 7 นาที และต้องเปิดกรีนชูอีก 600 ล้าน หลังจากที่ก่อนหน้านี้กองทุน ONE-GLOBALTOP8M10 มียอดจองซื้อเต็มจำนวนภายในระยะเวลา 20 นาที ทั้งนี้ หากนับยอดจองซื้อกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ต่างประเทศในซีรีส์ 8M8 8M9 8M10 และ 8M11 ในระยะเวลาเพียง 1เดือน บลจ.วรรณ มียอดขายเกิน 1 หมื่นล้านบาท นับเป็นความสำเร็จระหว่าง บลจ.วรรณ และกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ได้ร่วมมือกันนำเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ดังกล่าว" นายพจน์ กล่าว

ในส่วนของการลงทุนระยะยาว บลจ.วรรณ ยังคงแนะนำกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Mid-Small Cap) ที่มีแนวโน้มบวกได้มากกว่า Mega-Large Cap ในปีนี้ เนื่องจากอัตราการเติบโตรายได้มีแนวโน้มสูงกว่าขณะที่ราคานับตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ปีที่แล้วขึ้นมาเพียงเท่าๆ กัน นอกจากนี้ ธีมที่น่าสนใจคือ China New Economy เนื่องจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวเด่นชัดสุดจากกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศที่มีประชากรสูงสุดในโลก ขณะที่ราคาหุ้นต่ออัตราการเติบโต (PEG) ถ้าเปรียบเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่ราคาขึ้นมาพอสมควรนับว่ายังมีโอกาสในการลงทุนในหุ้นจีนอยู่

ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ หากมีแนวโน้มลดลงจากมาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดและการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ประกอบกับหลายประเทศเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อเนื่อง อาจจะนำไปสู่การเปิดเมืองอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ปัจจัยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจมีภาวะกดดันหลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากจากนักลงทุนส่วนหนึ่งที่เชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์ถ้ามีการปิดเมือง กอปรกับถ้าคาดว่ากำไรในไตรมาสแรกปีนี้ออกมาเพียงใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์หรือแย่กว่าคาดการณ์


กำลังโหลดความคิดเห็น