บลจ.ทิสโก้ตั้งเป้า AUM กองทุนรวมแตะ 6 หมื่นล้าน โต 13% มั่นใจผลงานดี ช่องทางหลากหลายช่วยดึงลูกค้าเข้าลงทุนเพิ่ม พร้อมแนะลงทุนหุ้นสุขภาพ-จีน แนวโน้มโตดี ส่วนหุ้นไทยอัปไซด์น้อยต้องรอท่องเที่ยวฟื้นเปิดประเทศเดินทาง
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 10% อยู่ที่ 3.18 แสนล้านบาท จากเดิมในปี 2019 อยู่ที่ 2.9 แสนล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของเอยูเอ็มในส่วนของกองทุนรวมที่ 13% ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท จากเดิมสิ้นปี 2020 อยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเติบโตต่อจากนี้จะมาจากการขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย และผลการดำเนินงานของกองทุนที่โดดเด่นทำให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น
“โอกาสของ บลจ.ทิสโก้มีมากขึ้นหลังจากแบงก์ขนาดใหญ่มีการปรับตัวขายหน่วยลงทุนให้กับ บลจ.อื่นด้วย รวมถึงช่องทางใหม่ที่เป็นดิจิทัลก็สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันเรามีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าเป็น 8.5 หมื่นรายจากฐานลูกค้าเดิม 4-5 หมื่นราย และยังมีลูกค้าเปิดบัญชีใหม่เข้ามาทุกวันผ่านระบบออนไลน์หลังสามารถทำรายการเปิดบัญชีผ่านมือถือในช่วงปลายปี 2020”
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปีนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในระดับ 3-4% โดยจีนมีอัตราการเติบโตมากที่สุดที่ประมาณ 8% เป็นปัจจัยหนุนหลัก รวมถึงการที่ธนาคารกลางยังคงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบทุกเดือน และแนวโน้มการใช้วัคซีนที่เริ่มมีการแพร่หลายมากขึ้นในหลายประเทศ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามคืออัตราเงินเฟ้อ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในสหรัฐอเมริกา และการออกจากมาตรการการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้แต่เป็นสิ่งที่ต้องติดตามตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ไปถึงปีหน้า 2022
นายสาห์รัชกล่าวอีกว่า การลงทุนในปีนี้หุ้นยังถือเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนโดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นไทย โดยการลงทุนที่บริษัทแนะนำจะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ การลงทุนหุ้นกลุ่มสุขภาพที่มีการพัฒนาด้านนวัตกรรม และการลงทุนในหุ้นจีนในตลาด A-share โดยการลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพนั้นถือเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคตอีก 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีปัจจัยบวกจากสังคมสูงวัย การต้องการใช้สินค้าสุขภาพ รวมถึงพฤติกรรมการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากโควิด-19
ส่วนการลงทุนในจีนถือว่าเป็นโอกาสที่ดีต่อจากนี้ ซึ่งคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ของเอเชียมากขึ้น ซึ่งจีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่จะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนที่เข้ามาในภูมิภาคนี้
“หุ้นกลุ่มสุขภาพต่อจากนี้มีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกจากการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมมนุษย์ที่ใส่ใจสุขภาพ รวมถึงความต้องการของผู้สูงอายุในด้านบริการทางการแพทย์และการรักษาจากสังคมสูงวัย โดยการนำนวัตกรรมและวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีมาปรับใช้จะส่งผลให้การบริการด้านสุขภาพและผลิตภัณฑ์รวมถึงยารักษาในอนาคตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนการลงทุนในจีนต่อจากนี้น่าจะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความตึงเครียดที่ลดลงจากการที่นายโจ ไบเดน เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ”
สำหรับหุ้นไทยในปีนี้เชื่อว่าจะมีอัปไซด์ไม่มากนักประมาณ 5% จากดัชนีปัจจุบัน โดยคาดว่าดัชนีน่าจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุดได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มมากขึ้นได้ แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่มีการเปิดประเทศ และการท่องเที่ยวกลับมาเป็นปกติแล้วเท่านั้น โดยปัจจัยหนุนของหุ้นไทยปีนี้น่าจะมาจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว
“หุ้นไทยที่มีอัปไซด์น้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศเพราะหุ้นไทยส่วนใหญ่ยังเป็นหุ้นในระบบเศรษฐกิจเก่าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเองไม่น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นไทยมากนักเนื่องจากถูกแรงกดดันจากภาระหนี้ภาครัฐและการเมือง ซึ่งถ้าดูการท่องเที่ยวแล้วเชื่อว่าภายในปีนี้ยังไม่สามารถกลับมาเป็นปกติหรือมีการเดินทางได้อย่างเสรีได้ รวมถึงราคาหุ้นไทยเองก็ไม่ถือว่าถูกมากนักทำให้ความน่าสนใจของหุ้นไทยลดลงไปพอสมควร” นายสาห์รัชกล่าว