xs
xsm
sm
md
lg

วรรณเชียร์หุ้นโลก-จีนอัปไซด์สูง โควิดคลี่คลายหุ้นไทยครึ่งปีแตะ 1,620

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บลจ.วรรณแนะเพิ่มสัดส่วนลงทุนหุ้นทั่วโลก-จีนรับปัจัยบวกเพียบ ทั้งวัคซีน นโยบายรัฐ และสภาพคล่องในระบบสูง ขณะที่หุ้นไทยต้องรอความชัดเจนจากการเปิดประเทศเป็นหลัก ทั้งเรื่องท่องเที่ยว และส่งออก หากโควิดคลี่คลายอาจเห็นดัชนีแตะ 1,620 ในช่วงครึ่งปีแรก

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนในปีนี้หุ้นยังถือเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนต่างประเทศทั่วโลกและหุ้นจีนที่จะได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และวัคซีนที่กำลังทยอยถูกนำไปใช้ในหลายประเทศ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ดีในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำของธนาคารกลางในหลายประเทศจะส่งผลให้มีสภาพคล่องในระบบสูงต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 ปี
ขณะที่หุ้นไทย บริษัทมองว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,620 จุดได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 แต่จะต้องขึ้นอยู่กับการเปิดประเทศเป็นหลัก เพราะพื้นฐานของเศรษฐกิจจำเป็นต้องพึ่งพิงการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นหลัก โดยหากไม่สามารถกลับมาเปิดประเทศได้ในช่วงเวลาต่อจากนี้คาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับอยู่ที่ระดับ 1,400 จุดได้ เนื่องจากปัจจุบันหุ้นไทยที่ระดับ P/E 26 เท่าถือว่าแพงแล้วเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานและการเติบโต
“เราให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นทั่วโลกและจีน รวมถึงตลาดเกิดใหม่ มากกว่าตลาดหุ้นไทย เพราะหุ้นไทยน่าจะมีอัปไซด์ไม่เกิน 7% แต่หุ้นทั่วโลกจะได้ประมาณ 10% โดยเฉพาะหุ้นจีนที่ราคายังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งถ้านักลงทุนมีการลงทุนในหุ้น 50% ของพอร์ต ควรแบ่งพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 10% และอีก 40% เป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ” นายพจน์กล่าว

ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการลงทุนระยะยาวที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนประเภทไฮยิลด์บอนด์จะมีความน่าสนใจมากกว่าเนื่องจากผลตอบแทนจากส่วนต่างของอันดับความน่าเชื่อถือประมาณ 3.7% จะเป็นตัวช่วยซัปพอร์ตจากการขาดทุนได้ รวมถึงความเสี่ยในการผิดนัดชำระหนี้ปรับตัวลงในช่วงก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับการลงทุนในกองตราสารหนี้ประเภทนี้

นายพจน์กล่าวอีกว่า สำหรับสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.54 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวม 6.1 หมื่นล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล 4 หมื่นล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 5.3 หมื่นล้านบาท โดยมีการเปิดขายกองทุนหลัก 3 ประเภทด้วยกัน ประกอบด้วย 1. กองทุนคอมเพล็กซ์รีเทิร์น กองทุนตราสารหนี้ที่มีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนจากการใช้สัญญาฟิวเจอร์กับการปรับตัวของตลาดหุ้นไทย 2. กองไลฟ์แซตเทิลเมนต์ที่ลงทุนในตลาดรองประกันชีวิต และถือเป็นนวัตกรรมการลงทุนใหม่กองทุนแรกของประเทศไทย 3. กองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นโลก ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเนื่องจากสามารถทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายทั้ง 7 กองทุนที่เปิดขายภายในระยะเวลาเพียง 2-3 เดือน

“การลงทุนในทริกเกอร์ฟันด์ปีนี้น่าจะมีอีกกว่า 10 กอง เนื่องจากมองว่าการลงทุนในหุ้นทั่วโลกยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีก และหุ้นที่มีราคาสูงก็อาจปรับตัวเพิ่มอีกด้วยเช่นกัน ขณะที่หุ้นที่มีราคาสูงเกินไปก็จะไม่เข้าไปลงทุน ซึ่งจุดนี้จะเห็นได้ว่าทีมผู้จัดการกองทุนของเราเริ่มมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น จึงสามารถบริหารกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยดูได้จากผลงานในช่วงที่ผ่านมา” นายพจน์กล่าว

สำหรับกองทุนทริกเกอร์ฟันด์จะเหมาะสำหรับนักลงทุนเน้นระยะสั้น ขณะที่แนวทาง Asset Allocation ตามจังหวะตลาดยังเป็นกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนระยะปานกลางถึงยาว โดยบริษัทยังเน้นการจัดพอร์ตตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งบริษัทยังคงแนะนำกองทุน ONE-DISC และ ONE-ALLCHINA เป็นกองทุนเด่นในช่วงไตรมาสแรกนี้

“เป้าหมายของ บลจ.วรรณในปีนี้ คือ การยกระดับแผนการลงทุนต่างประเทศ โดยให้ผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในตลาดต่างประเทศของบริษัทเป็นผู้จัดสรรการลงทุนมากขึ้น เพราะกองทุนหลักแต่ละแห่งจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะต้องผสมผสานความยืดหยุ่นนี้เข้าด้วยกัน โดยขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อนำเสนอกองทุนต่างประเทศเพิ่มเติมในลักษณะลงทุน Fund of Funds โดยลงทุนมากกว่า 80% และ 20% คัดเลือกหุ้นโดยตรงจากผู้จัดการกองทุน ซึ่งบริษัทมองว่าอาจจะเป็นการลงทุนในแถบภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ บริษัทกำลังพิจารณาเสนอกองทุนทางเลือกเพิ่มเติมอีกด้วย” นายพจน์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น