xs
xsm
sm
md
lg

KAsset ชี้กระทิงมาแล้ว จังหวะดีการลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บลจ.กสิกรไทยฟันธงตลาดกระทิงมาแล้ว จังหวะดีลงทุนรับเศรษฐกิจฟื้น ให้น้ำหนักหุ้นต่างประเทศมากกว่าไทย ส่วนหุ้นไทยอาจเห็น 1,650 หากครึ่งปีหลังทยอยเปิดประเทศ แนะจับตาดอลลาร์อ่อนหนุนฟันด์โฟลว์เข้าเอเชีย เตือนระวังของแพงเลือกลงทุนรอบคอบ พร้อมตั้งเป้ารุกดิจิทัล AUM ปีนี้แตะ 1.48 ล้านล้าน โต 7%

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้น และเชื่อว่าภาวะตลาดกระทิงได้มาถึงแล้ว จึงเป็นเวลาที่เหมาะแก่การลงทุน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งหลังจากที่มีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้สำเร็จและแจกจ่ายใช้ในหลายประเทศ และความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯ กับจีนมีความเข้มข้นน้อยลงจากการเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโจ ไบเดน รวมถึงการผ่อนคลายทางการเงินและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะทำให้มีสภาพคล่องอยู่ในระบบจำนวนมหาศาล

“ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกเราพ้นจุดต่ำสุดมาแล้วและทุกประเทศจะกลับมาเป็นบวก ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะโตประมาณ 5-6% โดยมีจีนและอินเดียเป็นผู้นำที่จะมีการเติบโตสูงถึง 8-10% ซึ่งการเติบโตนี้จะเป็นไปตามคาดการรณ์หรือไม่จะต้องดูที่การแจกจ่ายวัคซีนและประสิทธิภาพของมันเป็นไปตามแผนที่ว่างไว้หรือไม่ ถ้าล่าช้าออกไปก็จะไม่เป็นผลดี แต่เชื่อว่าโดยรวมจะเป็นไปตามคาดการณ์และเศรษฐกิจจะฟื้นตัวแบบยั่งยืนได้” นายวศินกล่าว

ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นอย่างมาก แต่ตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มสนใจย้ายไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (FIF) กันมากขึ้น และคาดว่าความสนใจจะมีต่อเนื่องไปในปีนี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือเรื่องของราคาหุ้นที่เริ่มจะแพงเกินไปในทุกตลาดเนื่องจากสภาพคล่องในระบบที่มีอยู่สูงมากและนักลงทุนต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น

นายวศินกล่าวอีกว่า สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเชื่อว่าปีนี้ความเสี่ยงจากการปรับลดลงของหุ้นไทยจะลดลง ซึ่งถ้าต้องเผชิญความเสี่ยงเลวร้ายจากการแพร่ระบาดรอบ 3 หุ้นไทยที่ระดับดัชนี 1,300-1,350 จุดจะเป็นจุดต่ำสุดในปีนี้

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนเอเชียรวมถึงไทย โดยหากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรในบริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำให้ตลาดสามารถซื้อขายในระดับ Valuation ที่สูงได้ ทั้งนี้ คาดว่า SET Index ปลายปีจะปรับขึ้นแตะ 1,600 จุด ภายใต้ความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากเห็นความชัดเจนในการแจกจ่ายวัคซีน และการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่จะสนับสนุนการส่งออกของประเทศ และอาจไปถึงระดับ 1,650 ถ้าการเปิดประเทศกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะเม็ดเงินทุนจากต่างชาติยังต้องดูแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวอ่อนค่าลงอีกหรือไม่เป็นหลักหลังในช่วงที่ผ่านมาเริ่มแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

นายวศินกล่าวอีกว่า ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนต่างประเทศ 70% กองทุนหุ้นไทย 25% และกองทุนตราสารหนี้ 5% ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ 65% กองทุนต่างประเทศ 25% และกองทุนหุ้นไทย 10%

โดยให้น้ำหนักกับ 2 ธีมการลงทุน ได้แก่ 1) ธีม New Normal การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในวงกว้าง เช่น การให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการศึกษานอกสถานที่ โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มเฮลท์แคร์ (Health Care), อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และการศึกษาออนไลน์ (Edutainment) เป็นต้น

และ 2) ธีมสองมหาอำนาจ สหรัฐฯ และจีนต่างมีปัจจัยบวกสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนหลากหลายสัญชาติ มีน้ำหนักสูงถึง 46% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่จีนมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นประเทศขนาดใหญ่ และมีการบริโภคภายในประเทศที่ค่อนข้างสูง รวมถึงมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

สำหรับกองทุนหุ้นไทย ยังคงเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Quality Growth และ High Potential for Recovery จากความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
นายวศินกล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตในปี 64 ที่ระดับ 7% หรือมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มขึ้นแตะ 1.48 ล้านล้านบาทจากเอยูเอ็ม ณ สิ้นปี 63 อยู่ที่ 1.40 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.04 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.96 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.69 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 74%, 14% และ 12% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ ธ.ค. 63)

ส่วนในปีนี้บริษัทมุ่งรักษาความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนรวม ด้วยการ 1) รักษาฐานลูกค้าเดิมผ่านการแนะนำกองทุนที่เหมาะสมกับภาวะตลาด 2) ขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านการเปิดเสนอขายกองทุนตามไลฟ์สไตล์และเทรนด์โลก 3) พัฒนาช่องทางการลงทุนดิจิทัล โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่บน App K-My Funds เพื่อให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น และ 4) นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์และบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ขณะที่การขยายฐานลูกค้าในปีที่ผ่านมาบริษัทมีผู้เปิดบัญชีใหม่เพิ่มรวมทุกช่องทางอยู่ที่ 9.8 หมื่นรายโดยจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital-based Users) มีประมาณกว่า 74% จากจำนวนลูกค้าที่มีธุรกรรมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา รวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 4.40 แสนล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอีก 20% ในปี 64
กำลังโหลดความคิดเห็น