นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สภาวะเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 สร้างความเสียหายให้แก่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจดั้งเดิม แต่เป็นโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้แก่บริษัทที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ หรือธุรกิจประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยุคหน้า ที่ตอบโจทย์ความต้องการและตอบสนองพฤติกรรมของผู้ใช้งานในยุค New Normal สามารถสร้างรายได้เติบโตได้แบบทวีคูณ
สถานการณ์ปัจจุบัน ตลาดทุนต่างประเทศแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้น ด้วยความคาดหวังสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 จะดีขึ้น และมีนโยบายกระตุ้นด้านการคลังและการเงินเพิ่มเติม และเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในปี 2564 ขณะที่มีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนของ 1) การระบาดของ COVID-19 รอบที่สอง 2) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 3) ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน 4) การเจรจาข้อตกลงหลัง BREXIT และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีและนวัตกรรมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างผลผลิตของโลก ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค ปัจจุบันหุ้นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเติบโตในอัตราก้าวกระโดดโดยสัดส่วนของหุ้นกลุ่มนี้ต่อหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นสูงกว่า 4 เท่า (เมื่อเทียบกับเมื่อปี 2548) และมีมูลค่าตลาดมากกว่าที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ McKinsey Global Institute คาดการณ์ว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกกว่า 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573
นายธนโชติกล่าวต่อไปว่า เอ็มเอฟซีจึงเห็นโอกาสในการลงทุนในธุรกิจ และนวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้ซี่งมี momentum ที่แข็งแกร่ง และรายได้ที่เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เอ็มเอฟซีจึงเสนอขาย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เน็กซ์ เจนเนอเรชั่น เทคโนโลยี (MGTECH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ ประเภท Feeder Fund ในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology Sector) ที่มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF Next Generation Technology Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งบริหารโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่า 80% ของ NAV
กองทุนหลักจดทะเบียนจัดตั้งที่ประเทศลักเซมเบิร์ก โดยกองทุนดังกล่าวลงทุนอย่างน้อย 70% ของ NAV ในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่มีความโดดเด่นในการประกอบธุรกิจทั้งด้านการวิจัย การพัฒนา การผลิต และหรือการบริการ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอนาคต นอกจากนี้ กองทุน MGTECH อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน (efficient portfolio management) โดยมี Benchmark MSCI AC World Information Technology Net Total Return Index เป็นดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงาน
กองทุน MGTECH เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีเพื่อยุคหน้าที่จะเป็นผู้ชนะในวันพรุ่งนี้ โดยคัดเลือกจากบริษัทที่มีศักยภาพ ~1,100 บริษัท รายได้และกำไร (EPS) ของบริษัทกลุ่มนี้มีลักษณะ Hyper Growth ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 40-50% ต่อปี และมีศักยภาพจะเติบโตสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปีเพื่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในทศวรรษหน้า MGTECH จึงแตกต่างจากกองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วไปที่ลงทุนในบริษัท Mega Technology (ที่มีอยู่ประมาณ 100 บริษัท) ที่รายได้และกำไรอาจจะขยายตัว 10-20% ต่อปี แต่กำลังจะเข้าสู่ช่วงเติบโตช้าลงและอาจเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่อัตราการเติบโตต่ำในที่สุด กองทุนหลัก BlackRock Next Generation Technology มีทีมบริหารลงทุนนำโดย Tony Kim (ได้รับ rating AA โดย CITYWIRE และบริหารกองทุนเทคโนโลยีที่ได้รับการจัดอันดับ Morningstar 5 ดาว) ที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีกว่า 25 ปี และมีความรู้เชิงลึกที่สามารถคัดเลือกประเภทธุรกิจและบริษัทตามนโยบายลงทุน
นอกจากนี้ กองทุนหลักมีการบริหารความเสี่ยง และกระจายการลงทุน (diversification) ไปในหุ้นประมาณ 100-125 ตัว และน้ำหนักลงทุนสูงสุดต่อหุ้นมักจะอยู่ที่ 1-2% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ดังนั้นกองทุนจึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของหุ้นรายตัวต่ำ