ผู้จัดการรายวัน360 - ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (International Insurer Financial Strength (IFS)) และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS) ของบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL ที่ ‘BBB+’ และ ‘AAA(tha)’ ตามลำดับ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศของ MTL สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแรงต่อเนื่อง ส่วนแบ่งทางการตลาดและระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง และระดับความเสี่ยงด้านการลงทุนที่ยอมรับได้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK (มีอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Issuer Default Rating) ที่ ‘BBB+’/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย และ Ageas Insurance International N.V. หรือ Ageas (มีอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว ที่ ‘A’/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) โดย MTL ได้รับประโยชน์จากการเป็นบริษัทประกันชีวิตเพียงแห่งเดียวที่สามารถขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านเครือข่ายสาขาของ KBANK และยังได้รับการสนับสนุนในด้านเทคนิคและการดำเนินงานจาก Ageas
จากการประมาณการของฟิทช์โดยการใช้ Prism Factor-Based Capital Model (Prism FBM) (ซึ่งเป็นแบบจำลองของฟิทช์ที่ใช้ประเมินระดับความแข็งแกร่งในด้านเงินกองทุน) และพิจารณาจากข้อมูลการดำเนินงานของ MTL ณ สิ้นปี 2558 ระดับเงินกองทุนของ MTL อยู่ในระดับแข็งแกร่ง (‘Strong’) แต่ปรับตัวอ่อนแอลงหนึ่งระดับจากการประมาณการ ณ สิ้นปี 2557 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สินประกันชีวิตจากสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีฐานะเงินกองทุนที่ดีและไม่มีเงินกู้ยืมจากภายนอก บริษัทมีสัดส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎมาย (Risk-based capital-BBC) ที่ 443% ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2559 และ 449% ณ สิ้นปี 2558 ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับขั้นต่ำตามเกณฑ์ที่ 140% อยู่มาก
ฟิทช์คาดว่า MTL จะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีจากนโยบายกำหนดราคาที่ระมัดระวังและจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่เติบโตสม่ำเสมอ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยทบต้น 3 ปี (2555-2558) ของเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 20.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในช่วงเวลาเดียวกันที่ 10.2% และมีอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เฉลี่ยระหว่างปี 2555-2558 ที่ 3.8% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตอื่นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
MTL เป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทยในด้านเบี้ยประกันภัยรับรวม โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 18.6% ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2559 และบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านเบี้ยประกันภัยรับใหม่สูงเป็นอันดับหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกันที่ 22.9% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางเครือข่ายของธนาคารพาณิชย์ (bancassurance) ซึ่งบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่หนึ่งที่ 27% ในปี 2558 MTL ยังคงลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี โดยส่วนใหญ่ประกอบด้วยตราสารหนี้ซึ่งมีสัดส่วนที่ 85% ของพอร์ตเงินลงทุนรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2559 และตราสารหนี้ส่วนใหญ่นั้นเป็นตราสารหนี้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ในขณะที่บริษัทยังคงมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนและทรัสต์ประมาณ 9% ของพอร์ตเงินลงทุนรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2559 ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยที่อาจส่งผลให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล และภายในประเทศของ MTL ถูกปรับลดอันดับ ได้แก่ การปรับตัวลดลงของสัดส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (RBC) มาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 250% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง หรือการปรับตัวแย่ลงของระดับเงินกองทุนของบริษัทซึ่งวัดจากแบบจำลอง Prism FBM นอกจากนี้ การปรับตัวแย่ลงของความสามารถในการทำกำไรซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนของกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์ที่ต่ำกว่า 1% อาจส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิตในอนาคตได้เช่นกัน
การปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินในประเทศระยะยาว (Long-Term Local Currency IDR) ของประเทศไทยที่ ‘BBB+’/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ อาจจะส่งผลให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลของ MTL ถูกปรับลดอันดับเช่นกัน การปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ MTL ไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลของบริษัทอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินในประเทศระยะยาวของประเทศไทย และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศปัจจุบันก็เป็นอันดับเครดิตที่สูงที่สุด