คาดธุรกิจประกันชีวิตครึ่งปีหลังขยายตัวต่อ รับอานิสงส์เทศกาลลดหย่อนภาษี เศรษฐกิจโต-การเมืองนิ่ง กรุงไทยแอกซ่า เล็งออกสินค้าเพิ่มเอาใจลูกค้า พร้อมโชว์ครึ่งปีกวาดเบี้ยรวมกว่า 2.3 หมื่นล้าน ด้านทิพยประกันชีวิตคาดทั้งปีเบี้ย 5 พันล้าน และทำกำไรติดต่อกันถึงปีหน้า
นายเดวิด โครูนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัทกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มของธุรกิจประกันภัยในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดี แต่จะมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งปีของบริษัทน่าจะเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีปัจจัยหนุนจากการออกผลิตภัณฑ์ที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้า และความต้องการสินค้าเพื่อลดหย่อนภาษีในช่วงท้ายปี
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะต้องเผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยบริษัทสามารถทำเบี้ยรับปีแรก 8,122 ล้านบาท เติบโต 40% โดยมีสัดส่วนการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางตัวแทน 2,674.7 ล้านบาท เติบโต 6% ช่องทางธนาคาร 5,353.7 ล้านบาท เติบโต 66% และช่องทางอื่นๆ 93.6 ล้านบาท เติบโต 66% และมีเบี้ยรับรวม 23,800 ล้านบาท เติบโต 37%
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าและฝ่ายขายของบริษัทมากขึ้น โดยจะลงทุนการวางระบบเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านไอทีประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งระบบนี้จะเป็นระบบเดียวกันที่จะใช้ในกลุ่มของบริษัทแอกซ่าในเอเชียทั้งหมด 8 ประเทศ
ด้านนายนพพร บุญลาโภ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดประกันชีวิตในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยจากสถานการณ์การเมืองเข้าสู่สภาวะปกติ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น และเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงที่ผู้บริโภคจะเน้นทำประกันเพื่อนำไปลดหย่อนภาษี สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยเริ่มเข้าใจการทำประกันชีวิตมากยิ่งขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 197 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 76 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 194% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกมีค่าใช้จ่ายในการรับประกัน 1,654 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1,924ล้านบาท หรือลดลง 270 ล้านบาท เพราะค่าสินไหมข่ายและเงินสำรองประกันลดลง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการรับประกัน 219 ล้านบาท และกำไรจากการรับประกันเพิ่มขึ้น 134 ล้านบาท
โดยเมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์ต่างๆ ทั้งด้านการเมืองและปัจจัยอื่นๆ คาดว่าในสิ้นปีนี้บริษัทจะมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% และมีกำไรสุทธิที่คาดไว้ 500 ล้านบาท ขณะเดียวกันคาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้บริษัทจะล้างหนี้ที่มีอยู่จนหมด ซึ่งมีหนี้อยู่ประมาณ 100 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันรับรวม 5,600 ล้านบาท กำไรสุทธิที่คาดไว้ 560 ล้านบาท และจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ท้้งนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถดำเนินกิจการได้ตามข้อกำหนด คือ ทำกำไร 2 ปีติดต่อกันเกินกว่า 50 ล้านบาท