ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้สถานะเงินฝากธนาคารพาณิชย์ 9 เดือนแรกของปี 2559 หดตัวลง 0.1% จากสิ้นปีก่อนหน้า แม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะมีการออกแคมเปญเงินฝากที่หนาแน่นขึ้นเทียบกับปีก่อนเพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์เงินฝากเดิมที่ครบกำหนด โดยเงินฝากธนาคารพาณิชย์มีโอกาสจบปี 2559 ที่อัตราการเติบโตใกล้ระดับ 2.0% ตามแรงหนุนของปัจจัยด้านฤดูกาลที่ลูกค้ามักพักเงินในผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ช่วงท้ายปี โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่รอจังหวะเข้าลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต ขณะที่การแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่เหลือของปีคงประคองตัวจาก 9 เดือนแรก เนื่องจากความต้องการใช้สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ และกระแสรายวันต่อเงินฝากรวม (CASA) ในช่วงสิ้นปีคงปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับสูงกว่า 60% จากระดับ 57.3% ณ สิ้นปี 2558 จากการเติบโตของผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ที่สูงขึ้นกว่าเงินฝากประจำ อย่างไรก็ดี แนวโน้มการแสวงหาผลตอบแทน (Search For Yield) ของกลุ่มลูกค้ารายย่อยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังสะท้อนผ่านอัตราการเติบโตของเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ ทางเลือกการออมอื่น เช่น กองทุนรวม และประกันชีวิต
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาพรวมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 แนวทางการระดมเงินฝากในช่วงที่ผ่านมา และประเมินทิศทางเงินฝากในช่วงที่เหลือของปี โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
ภาพรวมเงินฝาก 9 เดือนแรก…เงินฝากหดตัวจากปีก่อน แม้การออกแคมเปญเงินฝากจะหนาแน่นขึ้น
ข้อมูลเบื้องต้นจาก ธพ.1.1 บ่งชี้ว่า เงินฝากช่วง 9 เดือนแรกของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศหดตัวลง 0.1% จากสิ้นปีก่อนหน้า (YTD) มาอยู่ที่ระดับราว 11.24 ล้านล้านบาท หรือ ลดลง 1.1 หมื่นล้านบาทจากปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นการลดลงของผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำในกลุ่มลูกค้าผู้ฝากเงินรายย่อย ภาคธุรกิจ และกองทุนต่างๆ ขณะที่เงินฝากกระแสรายวัน และเงินฝากออมทรัพย์ยังเติบโตได้จากปีก่อน ซึ่งทำให้สัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ (CASA) ขยับขึ้นมาที่ระดับ 59.9% ของเงินฝากรวมของธนาคารพาณิชย์ 1 เทียบกับระดับ 57.3% ณ สิ้นปี 2558
ทั้งนี้ แม้ภาพรวมเงินฝากจะหดตัวลงเล็กน้อย แต่จำนวนแคมเปญเงินฝากในช่วง 9 เดือนแรกกลับหนาแน่นขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน จำนวนแคมเปญเงินฝากพิเศษเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 13 ผลิตภัณฑ์ เทียบกับปี 2558 ที่เฉลี่ยเดือนละ 8 ผลิตภัณฑ์เท่านั้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การออกแคมเปญเงินฝากส่วนใหญ่ของธนาคารพาณิชย์คงมุ่งเป้าเพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์เงินฝากเดิมที่ครบกำหนด และสร้างความหลากหลายให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการจัดสรรเงินออม มากกว่าจะเพื่อแข่งขันระดมเงินฝาก หรือชิงฐานลูกค้ากับธนาคารอื่นๆ
ส่วนรูปแบบแคมเปญเงินฝาก เน้นหนักไปที่เงินฝากพิเศษระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี เป็นหลัก และมีส่วนผสมของเงินฝากพิเศษระยะปานกลาง 1-2 ปีบ้าง เพื่อตอบโจทย์การออมของลูกค้า ส่วนแคมเปญเงินฝากพิเศษระยะนานกว่า 2 ปี มีค่อนข้างจำกัด ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มปรับลดลงเทียบกับต้นปี 2558 สอดคล้องต่ออัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อของธนาคารที่ปรับลดลง และมุมมองของธนาคารพาณิชย์ต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยของผลิตภัณฑ์เงินฝากระยะกลางมีแนวโน้มปรับลดลงมากกว่าผลิตภัณฑ์เงินฝากระยะสั้น ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) สำหรับผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำพิเศษระหว่างกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก มีแนวโน้มแคบลงเมื่อเทียบกับอดีต โดยสเปรดผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษระยะสั้นของแบงก์ใหญ่กับแบงก์กลางปรับลดลงจาก 0.2-0.25% ในปีก่อนมาที่ระดับ 0.10-0.20% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่สเปรดระหว่างแบงก์ใหญ่กับแบงก์เล็กปรับลดลงมาที่ระดับ 0.3-0.35% จากปีก่อนที่ 0.32-0.52% ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าทิศทางการปรับลดลงของดอกเบี้ยดังกล่าว สะท้อนถึงการบริหารสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ที่เน้นการบริหารในระยะสั้นถึงระยะกลาง ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายให้ใกล้เคียงกับรายได้ดอกเบี้ยรับจากสินเชื่อเพื่อประคองความสามารถในการทำกำไร
ขณะที่แนวโน้มเงินฝากปิดปี 2559…คาดขยายตัวได้ 2% จากการพักเงินตามปัจจัยด้านฤดูกาล
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสสุดท้ายของปีมีโอกาสเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนล้านบาท และจบปีที่อัตราการเติบโตที่ระดับ 2.0% ตามแรงหนุนของปัจจัยด้านฤดูกาลที่ลูกค้ามักพักเงินในเงินฝากออมทรัพย์ช่วงท้ายปี เพื่อรักษาสภาพคล่องไว้รองรับการใช้จ่ายในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการที่น่าจะมีความต้องการพักเงินเพิ่มเติมจากปีก่อนๆ เพื่อรอจังหวะการเข้าลงทุนเพิ่มเติมเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น นอกจากนั้น แรงกดดันจากการไหลออกของเงินฝากยังมีแนวโน้มลดลงเทียบกับปีก่อน โดยการครบกำหนดของเงินฝากประจำในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีจำนวนราว 1.4 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่มีปริมาณราว 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์น่าจะสามารถออกแคมเปญเงินฝากเพื่อประคองปริมาณเงินฝากประจำไว้ได้ใกล้เคียงกับระดับ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ส่วนทิศทางการแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วงท้ายปีคงอยู่ในบรรยากาศประคองตัวดังเช่นในช่วง 9 เดือนแรกของปี ท่ามกลางความต้องการใช้สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในระดับต่ำจากการปล่อยสินเชื่อซึ่งเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่า แม้การทำการตลาดของธนาคารพาณิชย์อาจลดความหวือหวาลงบ้างเพื่อประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ธนาคารพาณิชย์จะยังคงนำเสนอแคมเปญเงินฝากพิเศษที่มีความหลากหลายอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์การออมของแต่ละกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ชูจุดขายเรื่องอัตราดอกเบี้ยสูง โดยเฉพาะเงินฝากระยะกลางที่อาจเห็นธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กกลับมาแข่งขันด้านราคาเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษฟรีค่าธรรมเนียม ผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษปลอดภาษี ตลอดจนเงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษเมื่อเปิดบัญชีควบคู่กับผลิตภัณฑ์อื่น เพื่อรับมือต่อผลิตภัณฑ์เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พันธบัตรออมทรัพย์ และผลิตภัณฑ์ประหยัดภาษีอื่นๆ ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงท้ายปี
ขณะเดียวกัน สัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ และกระแสรายวันต่อเงินฝากรวม (CASA) ในช่วงท้ายปีนี้คงปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับสูงกว่า 60% จากระดับ 57.3% ณ สิ้นปี 2558 จากการเติบโตของเงินฝากประเภทออมทรัพย์ที่มีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นกว่าเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ดี แม้เงินฝากออมทรัพย์ และกระแสรายวันจะเร่งขึ้น แต่แนวโน้มการแสวงหาผลตอบแทน (Search For Yield) ของกลุ่มลูกค้ารายย่อยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังสะท้อนผ่านอัตราการเติบโตของเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ใกล้เคียง เช่น กองทุนรวมและประกันชีวิต ซึ่งบ่งชี้ว่าการเติบโตของเงินฝากออมทรัพย์ และกระแสรายวันที่สูงกว่าเงินฝากประจำนั้นอาจเป็นผลจากความต้องการพักเงินระยะสั้น และความต้องการสภาพคล่องของผู้ออมเป็นหลัก ส่วนการแสวงหาผลตอบแทนจากการออมนั้น ผู้ออมอาจเลือกลงทุนในช่องทางการออมอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำ
ทั้งนี้ ภาพรวมระยะกลางถึงยาว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธนาคารพาณิชย์อาจต้องปรับสัดส่วน CASA ลงจากปัจจุบันเพื่อให้เหมาะสมต่อเกณฑ์ LCR ทั้งนี้ เนื่องจากเกณฑ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ตาม Basel III 2 กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องมีโครงสร้างแหล่งเงินทุนระยะกลางและระยะยาวที่มั่นคง ซึ่งหมายถึงธนาคารพาณิชย์อาจต้องให้น้ำหนักต่อผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำระยะกลาง และยาวเพิ่มขึ้น และทยอยปรับลดสัดส่วน CASA ลงในอนาคต แต่ทั้งนี้ เพราะสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่สูงกว่าที่เกณฑ์ LCR กำหนดค่อนข้างมาก ทำให้แต่ละธนาคารสามารถบริหารเงินฝากและปรับลดสัดส่วน CASA แบบค่อยเป็นค่อยไปได้โดยไม่กระทบต่อทิศทางเงินฝาก และสภาพคล่องของธนาคารโดยรวม
โดยสรุป แม้การเติบโตของเงินฝากที่ระดับ 2.0% ในปี 2559 จะเป็นอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างต่ำซึ่งสอดคล้องต่อสินเชื่อที่เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ด้วยจำนวนแคมเปญเงินฝากที่คาดว่าธนาคารพาณิชย์จะทยอยผลักดันเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องแล้ว คงช่วยเพิ่มทางเลือกในการออมได้มากขึ้น นอกเหนือไปจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น กองทุนรวม และประกัน เพื่อความครบถ้วนในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การออม และตอบโจทย์เรื่องผลตอบแทนไปพร้อมๆ กัน