บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2559 ที่ผ่านมา ธุรกิจด้านประกันวินาศภัยนั้นโตติดลบ 5% หรือประมาณ 2 พันล้าน โดยมีผลกระทบจากโครงงานของภาคเอกชนและรัฐบาลที่ล่าช้า ด้านประกันชีวิตถือว่าประสบความสำเร็จบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมช่วง 9 เดือนปีนี้ 4.3 พันล้านบาท เติบโตสูงกว่าเป้าหมาย 5.27% ทั้งนี้ ในปี 60 บริษัทเน้นกลยุทธ์ด้านการบริการเพื่อเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เผยว่า ภาพรวมธุรกิจประกันภัยในปี 2559 มีการเติบโตที่น้อย เนื่องจากโครงการหลายโครงการของภาครัฐและเอกชนเกิดความล่าช้า ธุรกิจประกันภัยน่าจะเติบโตขึ้นในปี 2560 เนื่องจากภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทิพยประกันภัยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่สูงมาก แต่ยังสามารถรักษาลูกค้าได้ 100%
ด้านผลประกอบการ ปี 59 เบี้ยรับรวมอยู่ที่ 2.3 หมื่นล้าน หายไป 20% หรือประมาณ 2 พันล้านบาท ทิพยประกันภัยจึงประกันภัยกับลูกค้ารายย่อยมากขึ้น โดยข้อดีของรายย่อยคือได้รับเบี้ยประกันภัยที่ดีกว่าตามโครงการ คาดการณ์ว่าปีนี้จะเติบโตลดลง 5-6%
ดร.สมพรกล่าวต่อว่า ในปีหน้าทางบริษัทจะไม่แข่งขันในเรื่องราคา แต่จะสร้างมาตรฐานการบริการที่ดีเพื่อเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น โดยปีหน้าเน้นรายย่อย 3 กลุ่ม 1. รถยนต์ 2. อุบัติเหตุ 3. บ้านที่อยู่อาศัย โดยผ่านช่องทางธนาคารออมสิน, กรุงไทย,TMB และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
สำหรับสัดส่วนในช่องทางผ่านธนาคารอยู่ที่ 6 พันล้าน โครงการ 7.8 พันล้าน ที่เหลือเป็นนายหน้าและสาขา ด้านการเติบโตทางภูมิภาคมีอัตราเติบโตที่ 4% ส่วนด้าน Social ผ่านช่องทาง FB/Line โดยการขายประกันผ่าน Online ซึ่งมีผลตอบรับที่น่าพอใจอยู่ที่ 5% ทั้งนี้ พอร์ตลงทุนจาก 1.8 หมื่นล้าน อยู่ที่เงินฝาก 40% ตลาดหลักทรัพย์ 15% ที่เหลือเป็นพวกตราสารต่างๆ
ด้านนายนพพร บุญลาโภ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมช่วง 9 เดือนปีนี้ 4,325 ล้านบาท เติบโตสูงกว่าเป้าหมาย 5.27% แบ่งเป็นเบี้ยรับปีแรก 3,433 ล้านบาท และเบี้ยปีต่อ 891 ล้านบาท หรือยังเติบโต 26.50% จากปี 58 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 3,421 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 319.2 ล้านบาท หดตัว 15.76% เมื่อเทียบกับปี 58 กำไรสุทธิมี 378.9 ล้านบาท ทั้งนี้ยังต่ำกว่าคาดสาเหตุจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ
ทั้งนี้ บริษัทมีเบี้ยรับประกันภัยเติบโตสวนทางภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตมาจากการขยายตัวของประกันสินเชื่อบ้าน (MRTA) ขายผ่านช่องทางธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารพันธมิตรหลัก ปีนี้มุ่งส่งเสริมให้กลุ่มลูกค้าสินเชื่อของธนาคารมีความคุ้มครองสินเชื่อดังกล่าว พบว่าปัจจุบันลูกค้าสินเชื่อออมสินมีความคุ้มครอง MRTA เพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิม 30% อีกทั้งในช่วงที่เหลือปีนี้บริษัทยังเน้นขยายตลาดประกันคุ้มครองชีวิตและบำนาญ รองรับเทศกาลภาษีปลายปีนี้ จึงมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตตามเป้าหมายวางไว้ที่ 6,000 ล้านบาท เติบโต 15%
ส่วนทางด้านกำไรสุทธิปีนี้คาดว่าจะกลับมาเติบโตกว่าเป้าที่ 500-600 ล้านบาท จากเป้าวางไว้ที่ 400 ล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีก่อน เนื่องจากหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชัดเจนคือทรัมป์ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาดอกเบี้ยปรับขึ้น จากดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับขึ้นจาก 1.8% มาอยู่ที่ 2.3% ในปัจจุบัน ส่งผลให้ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปีของไทยปรับขึ้นด้วยประมาณ 0.4 สตางค์ จาก 2.2% มาอยู่ที่ 2.6% ในปัจจุบัน แน่นอนว่าเมื่อดอกเบี้ยปรับขึ้นส่งผลดีต่อบริษัท ตั้งสำรองดอกเบี้ยลดลงประมาณ 200 ล้านบาท
นายนพพรกล่าวด้วยว่า ทางด้านการลงทุนของบริษัทช่วง 9 เดือนปีนี้มีรายได้จากการลงทุน 472.9 ล้านบาท ยังสร้างผลตอบแทนที่ดี 4.77% ต่อปี หรือสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการลงทุน 273.75 ล้านบาท ผลตอบแทนที่ 4.01% ต่อปี วางเป้าหมายสร้างรายได้จากการลงทุนปีนี้ที่ 610 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 13% อยู่ที่ 540 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้บริษัทมีการเฝ้าดูภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ และแนวโน้มนโยบายทั้งด้านการเงินและการคลังทั่วโลกอย่างใกล้ชิดเพื่อจะสามารถลงทุนสินทรัพย์ได้เหมาะสมในทุกสภาวะ ทั้งนี้ บริษัทวางเกณฑ์การเลือกลงทุนในสินทรัพย์เครดิตเรตติ้ง A- ขึ้นไป ถือว่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ต้องไม่ต่ำกว่า BBB+ และในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นจะมีขายสินทรัพย์ทำกำไรออกมา รวมถึงกระจายการลงทุนสินทรัพย์อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี เช่น กองทุนอสังหาฯ และกองรีท อีกทั้งไม่มีการลงทุนในตราสารทุน เนื่องจากมีความผันผวนสูง ณ สิ้นเดือน ก.ย.นี้บริษัทมีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 15,081 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 11,702 ล้านบาท