บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 735,176 ล้านบาท ช่วงปลายปีบริษัทเปิดจำหน่าย 3 กองทุน (KT- PIF RMF), (KTEF-LTF), (KTEF-LTF) เสนอขายในวันที่ 14-23 พฤศจิกายน 2559 โดยมีมูลค่าโครงการกองทุนละ 1,000 ล้านบาท
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 735,176 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2558 ประมาณ 122,976 ล้านบาท หรือประมาณ 20% ในขณะที่อุตสาหกรรมโตเฉลี่ยประมาณ 13.8% ประกอบด้วย กองทุนรวม มีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้น 96,707 ล้านบาท กองทุนพร็อพเพอร์ตี้ 2,896 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล 14,737 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 8,636 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในกองทุน LTF-RMF บริษัทจึงเปิดจำหน่าย 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT- PIF RMF) กองทุนเปิดกรุงไทย สมาร์ท หุ้นระยะยาว (KTEF-LTF) เสนอขายในวันที่ 14-23 พฤศจิกายน 2559 และกองทุนเปิดกรุงไทย ซีเล็คทีฟ หุ้นระยะยาว เสนอขายในวันที่ 14-23 พฤศจิกายน 2559 เสนอขายวันที่ 13-21 ธันวาคม 2559 เพื่อการออมระยะยาว และเพื่อการเกษียณ โดยมีมูลค่าโครงการกองทุนละ 1,000 ล้านบาท
กองทุน KT- PIF RMF มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนจะเน้นการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs รวมถึงกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และเปิดโอกาสลงทุนหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยจะจำกัดการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน แต่ในช่วงแรกนี้กองทุนจะเน้นการลงทุนในประเทศไทยเป็นหลัก
สำหรับมุมมองการลงทุน คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยยังไม่มีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า เนื่องจาก FED อาจจะใช้เวลาในการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในแต่ละครั้ง ประกอบกับความเสี่ยงด้านการเมืองในยุโรปซึ่งหลายประเทศจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ในขณะที่ธนาคารกลางในยุโรปและญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้สภาพคล่องยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงและทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานซึ่งยังคงมีอัตราเงินปันผลที่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
ดังนั้น กองทุน KT-PIF RMF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจซึ่งจะสามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการหากองทุนที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอ และเป็นการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนทุกท่านได้ในระยะยาว
ส่วนกองทุน KTEF-LTF เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก มุ่งหวังโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดที่มีการกระจายการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก โดยมีจำนวนหลักทรัพย์รวมกันประมาณ 25-30 หลักทรัพย์ ทางกองทุนทำการคัดเลือกหลักทรัพย์ สำหรับการลงทุนเป็นการมองไปข้างหน้าในระยะกลางถึงยาว เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ วัฏจักรของธุรกิจ การคำนึงคาดการณ์การเติบโตของผลกำไรที่สูงกว่าอุตสาหกรรมและสูงกว่าตลาดโดยรวม ประกอบกับการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม (Growth at reasonable price) มุมมองสำหรับการลงทุน 3-6 เดือนข้างหน้า ให้ความสำคัญต่อบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รวมถึงกลุ่มพลังงานบางบริษัทที่มีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรม โดยกองทุนอาจจะมีปัจจัยเสี่ยงทางตลาด
ส่วนกองทุน KTSE- LTF ที่จะเปิดจำหน่ายในวันที่ 13-21 ธันวาคมนี้ กองทุนมีนโยบายลงทุนหุ้นทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดเอ็มเอไอ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จะเน้นลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว ในหลักทรัพย์ขนาดกลาง และเล็ก เฟ้นหาบริษัทที่มีศักยภาพซ่อนอยู่ ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ต่อนักลงทุนทั่วไป ซึ่งหุ้นที่มีลักษณะดังกล่าวจะสามารถเพิ่มมูลค่า และเหมาะสมกับการลงทุนในกองทุน LTF โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐที่ยังคงออกมาอย่างต่อเนื่องทางด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มเช่าซื้อ เป็นต้น โดยกองทุนอาจจะมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของการขาดสภาพคล่องของหลักทรัพย์
ทางด้านตลาดหุ้นไทย อาจจะพิจารณาทยอยสะสมหากปรับตัวลดลงตามแนวรับสำคัญๆ ปัจจัยพื้นฐานของประเทศยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โครงการลงทุนภาครัฐยังดำเนินต่อเนื่อง การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศยังน่าจะมีให้เห็นต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2560 เป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,670 จุด