บลจ.กรุงศรีเตรียมเสนอขายกองทุน LTF และ RMF เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นไทยและต่างประเทศ โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ผสมผสานทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ กองทุนมีความยืดหยุ่นและมีความคล่องตัวสูง สามารถคัดสรรหุ้นไทยที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละสภาวะตลาด
น.ส.ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจในการลงทุนสำหรับการวางแผนเกษียณควบคู่กับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในรูปแบบของการลงทุนผ่านกองทุน LTF-RMF บริษัทจึงเปิดเสนอขายกองทุนใหม่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทพร้อมกัน 4 กองทุน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ประกอบด้วยกองทุน LTF 2 กองทุน ได้แก่ กองทุน KFLTFAST-D เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ กองทุน KFLTFTSM-D เน้นลงทุนในหุ้นไทยของบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ในส่วนของกองทุน RMFใหม่ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุน KFSINCRMF เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก และกองทุน KFGBRANRMF เน้นลงทุนในสินค้าแบรนด์ดังหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่มีฐานลูกค้ากระจายอยู่ทั่วโลก เสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 14-21 พ.ย. 59”
“กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวออลสตาร์ปันผล (KFLTFAST-D) ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ผสมผสานทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ กองทุนมีความยืดหยุ่นและมีความคล่องตัวสูง สามารถคัดสรรหุ้นไทยที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละสภาวะตลาด โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะเป็นหุ้นปันผล หุ้นเติบโต หุ้นขนาดใหญ่ หรือหุ้นขนาดเล็ก ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจ และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี พร้อมช่วยลดความผันผวนด้วยหุ้นที่หลากหลายทั่วโลกผ่าน MSCI World ETF ทั้งนี้ กองทุน KFLTFAST-D มีนโยบายลงทุนในหุ้นหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จดทะเบียนใน SET หรือ MAI ไม่น้อยกว่า 65% และจะลงทุนใน iShares Core MSCI World UCITS ETF ประมาณ 30% ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 : เสี่ยงสูง และมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหน่วยลงทุน”
“กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวไทยสมอล-มิดแคปปันผล (KFLTFTSM-D) ชูศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่และผลตอบแทนเมื่อปรับด้วยความผันผวนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ อีกทั้ง การลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กจะช่วยลดความผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีสัดส่วนการถือครองหุ้นขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมักแปรผันตามการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาด ทั้งนี้ กองทุน KFLTFTSM-D มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 : เสี่ยงสูง”
“ในส่วนของกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลสมาร์ทอินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ (KFSINCRMF) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อเข้าถึงแหล่งสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ กองทุน KFSINCRMF ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ PIMCO GIS Income Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักมีความโดดเด่นในหลายด้าน และได้ Morningstar rating 5 ดาว ในกลุ่ม Multi sector bond (ที่มา : PIMCO ณ 30 มิ.ย. 59) กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 5 เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน”
“กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFGBRANRMF) เพิ่มศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นของสินค้าแบรนด์ดังหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่มีฐานลูกค้ากระจายอยู่ทั่วโลก และมีอัตราการเติบโตของยอดขายที่ดี เช่น บริษัทในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งมีผลตอบแทนที่โดดเด่นเหนือกว่าตลาดโดยรวมในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา โดยหุ้นอันดับต้นๆ ที่กองทุนหลักเลือกลงทุน เช่น Microsoft, Unilever, Nestle, L’Oreal เป็นต้น” (ที่มา : Morgan Stanley Investment Management ณ 30 ก.ย. 59)
กองทุน KFGBRANRMF มีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund (Class Z) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ทั้งนี้ กองทุนหลักมีประวัติการจัดตั้งมายาวนานกว่า 15 ปี และสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นบวกถึง 14 ปีปฏิทินนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน *(ที่มา : Morgan Stanley Investment Management ณ 30 ก.ย. 59) ความเสี่ยงระดับ 6 : เสี่ยงสูง และมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน” (ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต)
“การเพิ่มระยะเวลาการถือครองของ LTF จาก 5 ปีปฏิทินเป็น 7 ปีปฏิทินนั้นจะช่วยลดความผันผวนของการลงทุนในหุ้นได้เป็นอย่างดี และช่วยเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน เพราะในระยะยาวการลงทุนในหุ้นมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน ถือเป็นการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีจะมีผู้สนใจลงทุนในกองทุน LTF-RMF เป็นจำนวนมาก แนะนำนักลงทุนให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงวันท้ายๆ ของปี เนื่องจากมีผู้ลงทุนทำรายการจำนวนมาก