บลจ.อเบอร์ดีน จำกัด (อเบอร์ดีน) พร้อมเปิดตัวกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) แก่นักลงทุน โดยมีนโยบายการลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและพันธบัตร หลังจากกระทรวงการคลังได้ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์การถือครองหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ใหม่เป็น 7 ปีปฏิทิน ด้านเศรษฐกิจไทยจะยังคงเติบโตต่อไปแต่อาจจะต่ำกว่าศักยภาพที่มีอุปสรรค มีตั้งแต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนแอจนถึงการส่งออกที่ชะลอตัวลง
กองทุนเปิดอเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว 70/30 (หรือตัวย่อ ABLTF70/30) มีนโยบายเน้นการลงทุนในตราสารทุนไทยในสัดส่วน 70% และส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ไทยทำให้มีสัดส่วนการลงทุนคล้ายกองทุนรวมผสม
อเบอร์ดีนกล่าวว่า ถึงเวลาที่จะออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นได้มีการปรับตัวขึ้นอีกครั้งในปีนี้ แต่อเบอร์ดีนเห็นว่ายังมีโอกาสที่หุ้นจะเติบโตได้อีกในระยะยาวหากมีการลงทุนในพันธบัตรจะช่วยกระจายความเสี่ยงและช่วยลดความเสียหายจากการลงทุนในตลาดหุ้นขาลง จึงทำให้กองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการจัดสรรสินทรัพย์ด้วยตัวเองและระมัดระวังความผันผวนที่มาพร้อมกับกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารทุนเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้จึงสอดคล้องกับการลงทุนแบบคัดเลือกหุ้นรายตัวโดยพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน (Bottom-up) ของอเบอร์ดีน ซึ่งถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการลงทุนอย่างระมัดระวังของอเบอร์ดีนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี บริษัทฯ ยังเห็นแนวโน้มการเติบโตของประเทศไทยที่ดีขึ้นในปีหน้าแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลง
การลงทุนในหุ้นของกองทุน ABLTF70/30 จะใช้นโยบายการลงทุนเดียวกันกับกองทุน ABLTF ที่มีอยู่ โดยเพิ่มสัดส่วนของพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งกองทุน ABLTF สร้างผลตอบแทน 323.88% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์รวมที่ 285.05% นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2547 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2559)
กองทุนรวม ABLTF70/30 เปิดเสนอขายครั้งแรกที่ราคา 10 บาทต่อหน่วย โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 14-22 พฤศจิกายน 2559 และเปิดเสนอขายอีกครั้งในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 สำหรับงานสัมมนาประจำปีมุมมองตลาดทุนปี 2560 คุณอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ได้ให้ความเห็นว่า “สำหรับในปี 2559 ตลาดหุ้นไทยนับว่าทำผลงานได้ดีกว่าตลาดอื่นเกือบทุกที่ จากการที่มีสภาพคล่องที่ดี อัตราดอกเบี้ยต่ำ การแสวงหาอัตราผลตอบแทน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาในเชิงบวกในเดือนสิงหาคม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคยังคงคลุมเครือ บางภาคส่วนดูเข้มแข็งในขณะที่บางภาคส่วนกำลังปรับตัวเพื่อผ่านพ้นปัญหาในขณะนี้ ผลประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านการใช้จ่ายของโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้เห็นเป็นรูปธรรม และความเสี่ยงทางการเมืองก็ยังคงมีอยู่ สำหรับเราแล้วเราเห็นว่ามีหุ้นขนาดใหญ่บางตัวมีการซื้อขายเกินมูลค่าที่แท้จริงทั้งที่ไม่ได้มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของกำไร ทุกครั้งเราจะมุ่งเน้นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีความแข็งแกร่ง โดยไม่ได้คำนึงถึงขนาดของบริษัท เรามีความมั่นใจมากว่าบริษัทที่เราลงทุนจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์ในภาวะที่ยากลำบากไปได้ และจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยมในระยะยาว”
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เศรษฐกิจไทยจะยังคงเติบโตต่อไปแต่อาจจะต่ำกว่าศักยภาพที่มีอุปสรรค มีตั้งแต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนแอจนถึงการส่งออกที่ชะลอตัวลง ซึ่งหมายถึงการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อต่ำที่ประมาณ 1% ที่ยังคงดำเนินต่อไป ดังนั้นเราเชื่อว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ และราคาตราสารหนี้ที่ยังคงที่อยู่อีกตราบเท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงรักษาจุดยืนต่อการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้เราน่าจะสามารถรับความเสี่ยงของดอกเบี้ยได้ในระยะเวลาหนึ่ง โดยลงทุนผ่านตราสารหนี้ความเสี่ยงต่ำที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ”