กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบีทีเอสโกรทประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 14 อีกหน่วยลงทุนละ 0.188 บาท รวมเงินที่จ่ายกลับคืนผู้ลงทุนแล้วทั้งสิ้นหน่วยลงทุนละ 2.443 บาท แบ่งเป็น เงินปันผล 14 ครั้ง จำนวน 2.254 บาท และเงินลดทุนจำนวน 3 ครั้ง จำนวน 0.189 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อกำหนดสิทธิในเงินปันผลในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 6 ธันวาคม 2559
นายสุทธิพงศ์ พัวพันธ์ประเสริฐ Deputy Managing Director กลุ่มงาน Real Estate & Infrastructure Investment กองทุนบัวหลวง (BBLAM) กล่าวว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบีทีเอสโกรทเตรียมจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 14 โดยจ่ายจากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2559 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.188 บาท โดยบริษัทจัดการกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559 และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 6 ธันวาคม 2559
“นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน บีทีเอสโกรท เมื่อเดือนเมษายน 2556 กองทุนสามารถจ่ายคืนเงินให้แก่ผู้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกไตรมาส ทั้งในรูปของเงินปันผลและเงินลดทุน เป็นจำนวนรวม 2.443 บาท จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และมีโอกาสรับเงินคืนอย่างสม่ำเสมอระหว่างการลงทุนในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำอย่างปัจจุบัน และไตรมาสที่ผ่านมาจำนวนผู้โดยสารรวมยังสร้างสถิติใหม่สูงถึง 61.7 ล้านเที่ยวคนอีกด้วย” นายสุทธิพงศ์กล่าว
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 59/60 (ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2559) กองทุนมีรายได้ค่าโดยสารเท่ากับ 1,716.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจำนวนเที่ยวการเดินทางและค่าโดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น 8.2% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากจำนวนเที่ยวการเดินทางเพิ่มขึ้น
จำนวนผู้โดยสารรวมสำหรับไตรมาส 2 ปี 59/60 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ถึง 61.7 ล้านเที่ยวคน เพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตตามปกติของธุรกิจ และฐานผู้โดยสารในปีก่อนที่ต่ำ เนื่องจากระเบิดแยกราชประสงค์ และเพิ่มขึ้น 9.3% จากไตรมาสก่อน ที่มีจำนวนวันหยุดยาวหลายวัน เช่น วันสงกรานต์ วันหยุดเพิ่มพิเศษตามประกาศของรัฐบาลในช่วงวันฉัตรมงคล ส่วนอัตราค่าโดยสารเฉลี่ยไตรมาสนี้เท่ากับ 27.8 บาทต่อเที่ยวการเดินทาง เพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับส่วนลดบัตรโดยสารประเภทเติมเงินตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 แต่ลดลงเล็กน้อย 1.0% จากไตรมาสก่อน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมเท่ากับ 608.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายฝ่ายทุนจากค่ารถไฟฟ้างวดแรก การปรับเพิ่มฐานเงินเดือนและค่าแรงพนักงาน และค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ แต่บางส่วนหักกลบกับค่าซ่อมบำรุง และค่าสาธารณูปโภคที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้น 41.0% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากรายจ่ายฝ่ายทุนค่ารถไฟฟ้างวดแรก ค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการลดลงของค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายพนักงานเนื่องจากมีการจ่ายโบนัสพิเศษในไตรมาสก่อน
กองทุนมีรายได้จากเงินลงทุนในสัญญาซื้อและโอนสิทธิรายได้สุทธิ 1,108.2 ล้านบาท ลดลง 3.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 4.1% จากไตรมาสก่อน มีรายได้รวมเท่ากับ 1,112.1 ล้านบาท ลดลง 3.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 4.1% จากไตรมาสก่อน
มีค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 19.5 ล้านบาท ลดลงมากถึง 83.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 68.9% จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่เกิดจากในไตรมาสนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนตัดจำหน่าย (ตัดจำหน่ายครบจำนวนแล้วในไตรมาสก่อน) รวมทั้งมีการกลับรายการเพื่อลดการตั้งสำรองค่าธรรมเนียมพิเศษ ทำให้รายได้จากการลงทุนสุทธิในไตรมาส 2 ปี 59/60 เท่ากับ 1,092.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเล็กน้อย 0.4% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายรวมลดลงมากกว่ารายได้รวมที่ลดลงดังรายละเอียดข้างต้น และกองทุนรับรู้กำไรสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการวัดมูลค่าเงินลงทุน จำนวน 166.9 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในสัญญาซื้อและโอนสิทธิรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นให้เป็นไปตามมูลค่ายุติธรรม (จากเดิม 65,600.0 ล้านบาท ณ 30 มิถุนายน 2559 เป็น 65,800.0 ล้านบาท ณ 30 กันยายน 2559) โดยบางส่วนหักกลบกับต้นทุนค่าก่อสร้างสถานีศึกษาวิทยา (สถานี S4) จำนวน 33.1 ล้านบาท