ในด้านการลงทุนกำไรจากการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ แต่อีกด้านหนึ่งเงินปันผลยิ่งเป็นสิ่งสำคัญกว่า เนื่องจากเงินปันผลเป็นสิ่งที่สร้างกระแสเงินสดรับอย่างต่อเนื่อง และถือเป็น passive income ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้อยู่ในระดับต่ำ สำหรับในปีนี้คาดว่าผลตอบแทนของหุ้นทั่วโลกอาจจะสามารถปรับตัวอยู่ในระดับ 10% โดยปัจจัยผลักดันที่สำคัญนอกจากการปรับตัวขึ้นของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งจากราคาน้ำมันและโลหะแล้ว หุ้นกลุ่มการเงินก็เป็นกลุ่มที่สร้างผลตอบแทนเช่นกันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นซึ่งมีผลต่อราคาพันธบัตรในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในกลุ่มยูโรโซนและญี่ปุ่นก็เริ่มเห็นแนวโน้มของกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่ดีคล้ายๆ กัน แม้ว่าในส่วนของยูโรโซนจะมี operating margin ที่ถูกกดดันจากภาวะการลงทุนในช่วงนี้
สำหรับผู้ลงทุนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและอัตราการเติบโตของเงินปันผลเป็นปัจจัยหลักในการวัดมูลค่าของบริษัทจดทะเบียนที่ดี หากมองในด้านว่ากำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นจะสามารถแปลงเป็นเงินปันผลที่สูงขึ้นได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบที่สำคัญ เช่น อัตราการจ่ายเงินปันผลออก Financial leverage จากการกู้ยืม ความเชื่อมั่นของบริษัทในแง่เสถียรภาพของการปรับตัวดีขึ้นของกำไรบริษัท เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสเงินสดที่ได้รับจากการดำเนินงาน ทั้งนี้ จากข้อมูลในอดีตจากตลาดหุ้นต่างประเทศ อัตราการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยของกลุ่มสถาบันการเงินประมาณ 3% Utility 3.83% กลุ่มพลังงาน 3.38% กลุ่ม Healthcare ประมาณ 2% สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานความสามารถในการทำกำไรในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันจากระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรลมาอยู่ในระดับ 30 เหรียญต่อบาร์เรลในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปีนี้คาดว่ากำไรของกลุ่มพลังงานจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นหลังการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และ Non OPEC
ในมุมของ บลจ.วรรณ ปีนี้เรามองว่าราคาน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปในปีที่แล้ว และปีนี้ราคาน้ำมันจะกลับเข้าสู่จุดสมดุลในช่วงครึ่งปีหลังของปี โดยกรอบราคาน่าจะอยู่ที่ระดับ 50-65 เหรียญต่อบาร์เรล โดยในปีนี้ราคาน้ำมันน่าจะยืนได้ที่ระดับ 53-54 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งจะเอื้อให้หุ้นกลุ่มพลังงานสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่ดีและมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจหากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปตามคาดการณ์ เนื่องจากราคาน้ำมันมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับการเติบโตของ GDP ประมาณ 1:1 หมายความว่า หากเศรษฐกิจโลกสามารถเติบโตตามคาดหมายที่ระดับ 3% ราคาน้ำมันจะเติบโตใกล้เคียงกัน
ในส่วนของการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานในประเทศ เรามองว่านอกเหนือจากหุ้นพลังงาน เช่น น้ำมันและถ่านหิน ซึ่งราคาผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ ระดับอัตราการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยน่าจะอยู่ประมาณ 3-5% นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างแหล่งการใช้พลังงานโดยลดการพึ่งพาพลังงานชนิดเดียว ซึ่งภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนในการให้ใบอนุญาตการประกอบการของพลังงานทางเลือก ซึ่งคาดว่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ค่อนข้างมาก ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือกมีความน่าสนใจจากการเติบโตของกำไรจากการรับรู้รายได้การขายพลังงานของธุรกิจ ซึ่งจัดว่าเป็นหุ้นกลุ่มเติบโตที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ราคาปรับตัวลดลงจากข่าวที่มากระทบ เป็นจังหวะที่ดีในการสะสมหุ้นพลังงานทางเลือกที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแต่ได้รับผลกระทบเชิงลบตาม sentiment ของตลาด
อย่างไรก็ตาม เราพบว่าหุ้นกลุ่มพลังงานมีความผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ ในแง่การลงทุนที่เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ผู้ลงทุนควรลงทุนโดยผสมผสานหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและหุ้นเติบโตในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อพอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนและลดความผันผวนไปในตัว สำหรับท่านผู้ลงทุนที่ต้องการพอร์ตการลงทุนที่ผสมผสานหุ้นพลังงานในลักษณะดังกล่าว บลจ.วรรณอยู่ระหว่าง IPO กองทุนที่เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานไม่เฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากราคาพลังงาน แต่จะรวมไปถึงพลังงานทางเลือกอื่นๆ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน แต่ยังมีความกังวลเรื่องราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ครับ
คุณมณฑล จุนชยะ
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.วรรณ