บลจ.กรุงไทยโชว์กองหุ้นกลาง-เล็กผลตอบแทนหรูปรับเพิ่มขึ้น 25.64% แซงดัชนีตลาด มั่นใจกองทุนนี้น่าลงทุน รับอานิสงส์ผลประกอบการโต และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐผ่านโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมแนะช่วงตัดสินใจอาจพักเงินกองตราสารหนี้ ชูยิลด์ประมาณ 1.5% ต่อปี
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2559 กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น Mid-Small Cap (KTMSEQ) นับเป็นกองทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม จากการจัดอันดับของ Morningstar และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยปรับตัวขึ้นประมาณ 25.64% ในขณะที่ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.33%
ทั้งนี้ กองทุน KTMSEQ มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็กที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และมีกลยุทธ์ในการคัดสรรหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงตามปัจจัยพื้นฐาน มีศักยภาพในการเติบโตที่มั่นคงและสามารถสร้างอัตราการเติบโตของกำไรได้ ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวน โดยร่วมมือกับฝ่ายวิจัยของบริษัทอย่างใกล้ชิดเพื่อเฟ้นหาหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างผลกำไรให้แก่กองทุน ถึงแม้ว่าเป็นช่วงที่ภาวะการลงทุนจะมีความผันผวนสูงก็ตาม
“บริษัทเชื่อว่ากองทุนนี้เป็นโอกาสดีที่จะเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดน่าจะเริ่มมีการปรับฐานจากหุ้นขนาดใหญ่ อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากหลักทรัพย์ในกลุ่มที่กองทุนได้มีการลงทุนอยู่ ยังคงมีศักยภาพในการเจริญเติบโตของผลประกอบการ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จากทางภาครัฐ สภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และสภาพคล่องที่สูงทั่วโลก ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง การที่หลักทรัพย์ในกลุ่ม Mid-Small cap ยังคงมีค่า Forward P/E อยู่ในระดับที่ไม่แพง ในขณะที่ P/E ของตลาดอยู่ใกล้เคียงเป้าหมายของปีนี้ จึงถือว่ายังเป็นโอกาสดีที่จะเข้าลงทุนในกองทุนดังกล่าว” นางชวินดากล่าว
นางชวินดากล่าวอีกว่า นอกจากกองทุนหุ้นแล้ว สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะพักเงินจากการลงทุนอาจจะพิจารณาลงทุนในกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 107 (KTFF107) ซึ่งอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2559 อายุ 3 เดือน เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Bank of China (Macau), China Construction Bank (Asia) Corp.Ltd., Agricultural Bank of CHINA, Wing Lung Bank Ltd. และตั๋วเงินคลังประเทศญี่ปุ่น ผลตอบแทนประมาณ 1.50% ต่อปี โดยบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี
ทั้งแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุตามแรงขายของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก การประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FOMC) เฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25-0.50% ตามคาด แต่ไม่ระบุแน่ชัดเกี่ยวกับระยะเวลาการขึ้นดอกเบี้ย ภาพรวมตลาดจึงดูคลายความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ตลาดผิดหวังกับนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งไม่ได้เพิ่มวงเงิน QE ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ตลาดตราสารหนี้เกิดใหม่เผชิญปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติจะขายตราสารหนี้มากขึ้น โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเป็นยอดขายสุทธิจำนวน 6,320 ล้านบาท สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ผลกระทบของ Brexit ต่อตลาดการเงินทั่วโลก ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศ และการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ
ขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงทุกช่วงอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง 4 bps มาอยู่ที่ 0.67% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวลดลง 10 bps มาอยู่ที่ 1.03% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวลดลง 11 bps มาอยู่ที่ 1.46% ต่อปี