นับแต่ประเทศยักษ์ใหญ่ดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง ตลาดตราสารหนี้ในอาเซียนทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ หรือแม้แต่ไทยเอง ต่างได้อานิสงส์อย่างมากจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาเพื่อแสวงหาผลตอบแทนในตลาดเกิดใหม่ ทว่าในอาเซียนยังมีตลาดตราสารหนี้อื่นๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า 3-4 ประเทศข้างต้น และนักลงทุนจากต่างชาติยังเข้ามาลงทุนไม่มากนัก แต่ถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพและคาดว่าจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในอนาคต หนึ่งในนั้นคือตลาดตราสารหนี้ของประเทศฟิลิปปินส์
ด้วยแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สดใส การปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ โครงสร้างของตลาดตราสารหนี้ ผลตอบแทนที่น่าดึงดูด รวมถึงเสถียรภาพในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการเมือง ต่างช่วยหนุนให้ตลาดพันธบัตรแห่งนี้เริ่มฉายแววสดใส
เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานในปี 2558 ฟิลิปปินส์มีขนาดเศรษฐกิจ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 4 ของอาเซียนรองจาก อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย) และมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 6.3% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวแทบจะสูงสุดในเอเชีย เป็นรองเพียงแต่จีนเท่านั้น ด้วยรายได้ต่อหัวของประชากรที่ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฐานะทางการคลังก็ปรับตัวดีขึ้นมากเช่นกัน โดยรายได้ภาษีต่อขนาดเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ย 12% เป็น 15%-16% ในปีนี้ อีกทั้งยังบันทึกยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง จนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศขยายตัวจาก 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2555 สู่ 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ตัวเลขเหล่านี้เป็นผลจากรัฐบาลฟิลิปปินส์พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ส่งผลให้ฟิลิปปินส์พลิกฟื้นตัวเองจากที่เคยถูกขนานนามว่าเป็น “คนป่วย” กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เวลานี้
ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้งหมด ประเทศฟิลิปปินส์มี Credit rating ระดับ “BBB-” (ต่ำสุดของ investment grade) ถือว่าดีเป็นอันดับที่ 4 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (AAA) มาเลเซีย (A-) และไทย (BBB+) อีกทั้งยังได้สัญญาณที่ดีจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศขึ้นเหนือระดับ investment grade เป็นครั้งแรก ด้วยแนวโน้ม “มีเสถียรภาพ” ในปี 2556 และพร้อมจะปรับเพิ่มขึ้นอีกหากเล็งเห็นพัฒนาการทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ส่วนโครงสร้างตลาดตราสารหนี้นั้น ตลาดพันธบัตรของฟิลิปปินส์ยังมีขนาดค่อนข้างเล็ก ทั้งในแง่มูลค่าตลาดเมื่อเทียบกับจีดีพีที่ต่ำกว่า 40% ต่อปริมาณการออกตราสารหนี้ต่อปี และในแง่ปริมาณซื้อขายต่อวัน อีกทั้งในตลาดพันธบัตรเอง พันธบัตรรัฐบาลยังครองสัดส่วนค่อนข้างสูงราว 85% ของพันธบัตรทั้งหมด มีหุ้นกู้จากภาคเอกชนแค่ 15% เท่านั้น ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดพันธบัตรในสิงคโปร์และมาเลเซียที่มีประมาณ 50% สะท้อนให้เห็นว่าระบบการเงินของฟิลิปปินส์ยังคงพึ่งพาระบบธนาคารเป็นสำคัญ และยังระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ค่อนข้างต่ำ ทำให้วงเงินกู้สำหรับโครงการขนาดใหญ่อาจมีจำกัด
ประเด็นดังกล่าวชี้ว่า ตลาดพันธบัตรของฟิลิปปินส์ยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้ในอนาคต ผ่านการระดมทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ที่ต่างแสวงหาเงินกู้ที่มีต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะภาครัฐนั้นคาดว่าจะออกตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในวันข้างหน้า นอกจากนี้ ในส่วนของนักลงทุน พบว่าสัดส่วนของนักลงทุนต่างประเทศยังค่อนข้างต่ำ ด้วยเหตุว่าปริมาณตราสารหนี้ในตลาดที่ค่อนข้างน้อย และการเข้าถึงข้อมูลที่ยาก เมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ขณะที่หน่วยงานของรัฐและสถาบันการเงินคือนักลงทุนหลักของตลาดตราสารหนี้ฟิลิปปินส์ บ่งบอกถึงโอกาสที่จะเกิดการขยายฐานของนักลงทุนในอนาคต
ในด้านผลตอบแทน เมื่อพิจารณาดัชนีจาก Bloomberg พบว่าผลตอบแทนจากการถือครองพันธบัตรฟิลิปปินส์ตกราว 10% ต่อปี ในรูปสกุลเงินในประเทศ (เปโซ) ขณะที่ไทยและมาเลเซียให้ผลตอบแทนประมาณ 6.5% และ 3.9% ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่ามากหากเทียบ credit rating ที่ห่างกันเพียง 1-2 ขั้น เมื่อคิดอัตราผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์จะอยู่ที่ 8.22% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเกิดใหม่ทั้งหมดที่ 6% ต่อปี ความเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจในภาพรวมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อัตราดอกเบี้ยในระดับสูง (ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ที่ 4.07% ต่อปี เทียบกับไทยที่ 1.96% ต่อปี) และอัตราเงินเฟ้อไม่สูงมากนัก (1.3% เมื่อเทียบกับไทยที่ -0.5%) ด้วยปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้คาดว่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปและญี่ปุ่น ที่ต่างแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนในประเทศเนื่องจากดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ
ประเด็นสุดท้ายซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ได้แก่ เสถียรภาพทางการเมือง เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย โดยฟิลิปปินส์เพิ่งได้ประธานาธิบดีคนใหม่เมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา คือ นายโรดริโก ดูเตอร์เต จากพรรคพีพี-ลาบาน นายดูเตอร์เตโดดเด่นด้านปราบปรามยาเสพติดและคอร์รัปชัน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น
สิ่งที่ท้าทายต่อจากนี้คือการต่อยอดความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนในประเทศ รวมไปถึงตลาดตราสารหนี้ให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนอีกมาก ทั้งนี้ ความเสี่ยงของการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ยังถือว่าไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับหลายประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป ชี้วัดได้จากดัชนีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ (5 year Credit Default Swap spread) ยังอยู่ในระดับต่ำ
ท้ายที่สุด แม้ขณะนี้จะถือว่าตลาดตราสารหนี้ของฟิลิปปินส์ยังอยู่ในช่วง “ตั้งไข่” และยังไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากนัก อีกทั้งยังมีความท้าทายรออยู่อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของขนาดและสภาพคล่อง การส่งเสริมบทบาทของตลาดเพื่อช่วยให้ทั้งรัฐบาลและเอกชนสามารถบริหารจัดการเงินกู้ยืมได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมไปถึงวิธีจัดการความผันผวนของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
แต่ก็เชื่อว่าตลาดตราสารหนี้ในฟิลิปปินส์ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และจะกลายเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศ เพราะเอื้อประโยชน์ทั้งผู้ปรารถนาออมเงินและผู้ต้องการเงินทุนในอนาคต จนตลาดตราสารหนี้ของฟิลิปปินส์สามารถก้าวเข้ามามีบทบาทในเวทีอาเซียน ในฐานะตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุน และให้ผลตอบแทนอย่างน่าพอใจในระยะยาว
สุทธิรัตน์ รักจิตร์
กองทุนบัวหลวง