xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวย่าง Brexit หุ้นไทย-เอเชียมาแรง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

อีกหนึ่งประวัติศาสตร์การทำประชามติครั้งหนึ่งของอังกฤษ ที่ประชาชนลงคะแนนเสียงโหวตต้องการออกจากสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งแย้งกับผลสำรวจต่างๆ ของหลายสำนักก่อนหน้านี้ที่มีความเห็นว่าอังกฤษจะเลือกคงอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป ส่งผลให้เกิดความผันผวนของตลาดการลงทุนทั่วโลก ค่าเงินปอนด์ปรับตัวลดลงร้อยละ 10 ต่ำสุดในรอบ 30 ปี

นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ได้ประกาศลาออกภายหลังจากผลโหวตออกมาว่าอังกฤษต้องการออกจากสหภาพยุโรป โดยการต่อรองกับสหภาพยุโรปกำลังจะเริ่มขึ้น ภายใต้ช่วงเวลาและเงื่อนไขที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ อีกทั้งหลายประเทศในยุโรปไม่พอใจกับการควบคุมของสหภาพยุโรปในครั้งนี้ และอาจส่งผลให้เกิดการเรียกร้องขอออกจากสหภาพยุโรปตามประเทศอังกฤษ

ในฝั่งตลาดหุ้นเอเชีย ดัชนีหลักทรัพย์ในหลายๆ ตลาดปรับตัวลดลงสอดรับกับข่าวที่เกิดขึ้น นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น ส่วนหุ้นรายตัว (เช่น HSBC และ Standard Chartered) ที่ดำเนินธุรกิจใกล้ชิดกับประเทศอังกฤษ และ/หรือได้รับรายได้จากอังกฤษถูกขายออกเป็นจำนวนมาก

สภาพคล่องของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในภูมิภาคปรับตัวลดลงอย่างมาก เพราะขาดแรงซื้อจากตลาดพันธบัตร

สกุลเงินท้องถิ่นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นอกจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ สกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย (โดยเฉพาะค่าเงินริงกิตและค่าเงินวอน) อ่อนค่าลงเทียบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากนักลงทุนต้องการย้ายเงินลงทุนมาในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น และทองคำ ซึ่งตลอด 24 เดือนที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคนี้ให้ผลตอบแทนไม่เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนมากนัก

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แต่อเบอร์ดีนมีมุมมองว่าผลโหวตที่เกิดขึ้นต้องใช้เวลาอีกเป็นปีก่อนที่จะมีผลอย่างเป็นทางการ

**หุ้นไทย-เอเชียน่าสน**
**บลจ.อเบอร์ดีนเชื่อว่านักลงทุนในเอเชียซึ่งได้ติดตามกระแสการลงทุนอย่างระมัดระวังอยู่แล้ว เบร็กซิตอาจจะส่งผลแง่ลบต่อตลาด แต่แนวโน้มการขายออกของตลาดจำนวนมากเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน หุ้นของหลายบริษัทที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ เช่น HSBC และ Standard Chartered เป็นหุ้นที่จดทะเบียนหลักทรัพย์ในประเทศอังกฤษ แต่ดำเนินธุรกิจและสร้างรายได้ส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคนี้**

ด้าน นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.วรรณ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวผันผวนต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนจากการขายสินทรัพย์เสี่ยงบางส่วนของนักลงทุนและเข้าสู่ภาวะ “Risk-Off Mode” เนื่องจากผลกระทบของความกังวลเรื่อง Brexit หลังผลประชามติได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าอังกฤษมีมติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปและแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบที่มีโอกาสปรับตัวลดลงจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ดี คาดว่าตลาดหุ้นน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวในบางจังหวะ (Technical Rebound) โดยเฉพาะในตลาดหุ้นที่มีการปรับตัวลดลงแรงและเร็วในช่วงที่ผ่านมา เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ บริษัทคาดการณ์ว่ากรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 1,390-1,430 จุด การเคลื่อนไหวของดัชนีจะเป็นลักษณะ Sideway to Sideway down แต่จะไม่ปรับตัวลงแรงเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่านักลงทุนน่าจะทยอยรับรู้และปรับตัวรับต่อข่าวดังกล่าวได้ และตลาดคาดว่าผลกระทบต่อไทยยังคงเป็นไปในทิศทางที่จำกัด

สำหรับ**นักลงทุนที่รับความผันผวนของตลาดและสามารถลงทุนระยะยาวได้ สามารถทยอยซื้อสะสมในหุ้นไทยได้ในจังหวะที่ดัชนีฯ ย่อตัวลงต่ำกว่า 1,400 จุด โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เนื่องจากมองว่าปัจจัยกดดันเรื่อง Brexit จะเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้น และไม่น่าบานปลายจนใช้เวลานาน** เนื่องจากคาดว่าผลการลงประชามติดังกล่าวน่าจะกดดันให้ธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป และธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นน่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งจะสนับสนุนแรงซื้อสินทรัพย์เสี่ยงได้ในระยะถัดไป ขณะที่นักลงทุนระยะสั้นอาจรอดูสถานการณ์และตัดสินใจลงทุนในช่วงถัดไป

ขณะที่ นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้น่าจะได้รับผลบวกจากการที่นักลงทุนหันเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น รวมถึงการชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปีนี้ และอัตราดอกเบี้ยของไทยที่คาดว่าจะยังทรงตัวไปจนถึงสิ้นปีนี้ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินปอนด์และยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและค่าเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเพราะถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน ในระยะสั้นจะได้รับผลบวกจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในระยะยาวอาจจะถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า ทำให้มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มาก ขณะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากการคาดการณ์การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจอังกฤษและยุโรป

ส่วนคำแนะนำการลงทุน **เนื่องจากความผันผวนจะยังมีต่อเนื่องจากปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามากระทบ บลจ.กสิกรไทยจึงแนะนำให้นักลงทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงในระยะสั้นช่วง 3-6 เดือน อาจโยกการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตลาดเงิน ตราสารหนี้ หรือกองทุนผสม ส่วนนักลงทุนที่สามารถยอมรับความผันผวนได้ในระยะสั้น อาจใช้จังหวะที่ตลาดปรับตัวลงเป็นโอกาสเข้าสะสมเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยและเอเชียยังสามารถเข้าลงทุนได้เนื่องจากผลกระทบมีจำกัด ส่วนตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากความเสี่ยงที่น่าจะมีมากขึ้นต่อเนื่องไปอีกในช่วง 1-2 ปี จากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าลงทุน**

**ตามดู Brexit ยังไม่จบ**
นายมณฑลกล่าวอีกว่า **ในวันอังคารที่ 28 มิ.ย.นี้จะมีการประชุมรัฐสภายุโรป ซึ่งคงต้องติดตามมาตรการรองรับผลการลงประชามติดังกล่าว อย่างไรก็ดี มองว่าสหภาพยุโรปคงมีการเจรจาต่อรองกับอังกฤษอีกครั้ง ขณะนี้อังกฤษก็เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองเช่นกันหลังจากนายกรัฐมนตรีประกาศลาออก สะท้อนได้ว่ายังมีระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี หรืออาจมากกว่านั้นให้ตลาดและธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ ได้ปรับตัว ซึ่งยังไม่อยากให้นักลงทุนตื่นตระหนกมากจนเกินไป** ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามโดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปเป็นช่วงปลายปี อีกทั้งมองว่าธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นน่าจะมีการอัดฉีดปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อลดความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน รวมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มสหภาพยุโรป

ขณะที่นายนาวินกล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตามต่อเนื่องคือ ความเสี่ยงในภาคการเงินของอังกฤษ เนื่องจากประเทศอังกฤษถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของยุโรป และอาจมีแนวโน้มที่สถาบันการเงินใหญ่ๆ ในอังกฤษจะย้ายสำนักงานใหญ่กลับไปในประเทศต่างๆ ของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง อาทิ กรณีของสกอตแลนด์ที่อาจจะทำประชามติขอแยกตัวจากสหราชอาณาจักรด้วย และยังมีประเทศอื่นในสหภาพยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ที่อาจขอทำประชามติออกจากสหภาพยุโรปเช่นกัน ขณะที่ผลกระทบของ Brexit อาจทำให้โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้มีน้อยลง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ลงทุนควรติดตาม เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อสถานการณ์การลงทุนด้วย

ด้านการคาดการณ์ถึงผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ คาดว่าตลาดหุ้นในภาพรวมอาจปรับตัวลดลงในระยะสั้นเนื่องจากนักลงทุนไม่ได้มีการคาดการณ์ผลประชามติว่าจะมีมติ BREXIT โดยเฉพาะตลาดหุ้นอังกฤษและยุโรปที่คาดว่าจะมีความผันผวนในระยะกลางไปประมาณ 1-2 ปี จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเนื่องจากมีสัดส่วนการค้ากับอังกฤษในระดับที่สูง ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับตัวลงเนื่องจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นซึ่งจะกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน

ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่โดยรวม มีความเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกที่เพิ่มมากขึ้นจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้จะต้องพิจารณาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นรายประเทศไป โดยตลาดหุ้นเอเชียคาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าในภูมิภาคอื่น เนื่องจากมีการค้ากับกลุ่มประเทศยุโรปและอังกฤษน้อยกว่า จึงยังมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาวด้วยมุมมองของระดับราคาที่ไม่แพงนัก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะปรับตัวลงมากนักเนื่องจากเศรษฐกิจมีความเกี่ยวข้องกับยุโรปและอังกฤษค่อนข้างน้อย ทำให้ผลกระทบที่ได้รับน้อยกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น