บลจ.กสิกรไทยเตรียมปันผล 2 กองทุนต่างประเทศ กองหุ้นสหรัฐฯ และกองโกลบอล อินฟราฯ จ่ายเท่ากัน 0.25 บาทต่อหน่วย ระบุแนวโน้มหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนจากดอกเบี้ยเฟด และราคาเริ่มแพง ส่วนกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานโลกแจ่ม โอกาสดีลงเพิ่มได้ เผยเดือนที่ผ่านมาหุ้นโลก-สหรัฐฯ ปรับดีขึ้น เหตุนักลงทุนคลายความกดดันจากเฟด
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัดเปิดเผยว่า บริษัทมีกำหนดจะจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100 (K-USXNDQ) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559-31 พฤษภาคม 2559 และกองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน (K-GINFRA) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 มิถุนายน 2559 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 20.93 ล้านบาท
สำหรับมุมมองการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ นั้น ประเด็นคาดการณ์ช่วงเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นยังมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยตัวเลขการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ล่าสุดหลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน พ.ค.ที่ออกมาผิดหวังตลาด ทำให้มีนักวิเคราะห์เพียงแค่ 4% มองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มิ.ย.นี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้มีสูงถึง 30%
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ขณะที่หุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกน่าจะยังคงมีความผันผวนต่อเนื่องจากสภาวะตลาดหุ้นในภาพรวม แม้ว่ารายได้ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานจะค่อนข้างมั่นคงสม่ำเสมอ แต่การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันอาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในภาพรวม โดยเฉพาะหุ้นโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานซึ่งมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งในดัชนีชี้วัด
“คำแนะนำในการเข้าลงทุน ในมุมมองของ บลจ.กสิกรไทยมองว่าความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ มีค่อนข้างจำกัด ด้วยระดับราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อขายอยู่ในระดับที่ใกล้เต็มมูลค่าและค่อนข้างแพง ประกอบกับอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มลดลง และค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ย ผู้ลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังหากต้องการเข้าลงทุนเพิ่มเติม ส่วนผู้ลงทุนที่ต้องการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก มองว่ายังเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก โดยหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ด้วยระดับราคาปัจจุบันที่เหมาะสม และเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่มั่นคงและมีโอกาสสร้างกระแสรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรติดตามนอกเหนือจากจังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด คือผลการทำประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) และการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น ที่อาจส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนได้ในระยะสั้น” นายนาวินกล่าวในที่สุด
เดือนมีนาฯ หุ้นโลก-สหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น
นายนาวินกล่าวว่า ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากเกิดความผันผวนและแรงเทขายมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งนี้ นับจากจุดต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์ จนถึง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2559 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 14% โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากการที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับสภาพคล่องจากทั่วโลกยังมีอยู่สูง ส่งผลทำให้กองทุน K-USXNDQ ที่มีกลยุทธ์การลงทุนเชิงรับและมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่เคลื่อนไหวอ้างอิงกับดัชนี Nasdaq-100 สามารถปรับตัวขึ้นใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง โดยในรอบผลดำเนินงานช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (1 มี.ค.-31 พ.ค. 59) กองทุนให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 7.41%
ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นโครงสร้างพื้นฐานในหมวดธุรกิจพลังงาน อาทิ ธุรกิจท่อขนส่งน้ำมันและธุรกิจจัดเก็บก๊าซธรรมชาติ โดยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวดีขึ้น และส่งผลบวกต่อกองทุน K-GINFRA ที่ปัจจุบันได้ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นโครงสร้างพื้นฐานหมวดพลังงานอยู่มากกว่า 30% ประกอบกับกองทุนหลักมีการจับจังหวะเข้าลงทุนได้อย่างเหมาะสม ทำให้กองทุน K-GINFRA สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา และมีการจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกหลังจากจัดตั้งกองทุนได้ไม่ถึง 3 เดือน โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 59-31 พ.ค. 59 กองทุนให้ผลตอบแทนกว่า 6% ทั้งนี้ จุดเด่นของกองทุน K-GINFRA คือผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ เนื่องจากจะลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีความผันผวนต่อภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ (Defensive Stock) และยังสามารถสร้างรายได้หรือทำกำไรได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย