บลจ.ไทยพาณิชย์ประเมินภาพรวมหุ้นไทยยังแข็งแกร่ง รอแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่การท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี ล่าสุดประกาศจ่ายปันผล SCBDV-SCBSE ผู้ถือหน่วยเฮรับเงินพร้อมกัน 25 พ.ค.นี้
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ว่า หุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% แล้วจากช่วงต้นปี 59 ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพ ส่งผลบวกต่อหุ้นขนาดใหญ่
โดยบริษัทฯ เตรียมที่จะจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยพร้อมกันจำนวน 2 กองทุน ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 นี้ ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ถึง 30 เมษายน 2559 และกำไรสะสมในอัตรา 0.100 บาทต่อหน่วย
สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV) ถือเป็นกองทุนที่สร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นโดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2546 โดยจ่ายเงินปันผลไปแล้วถึง 14.87 บาทต่อหน่วย กองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนด้วยการคัดเลือกลงทุนหุ้นที่มีอัตราการเติบโตในระดับปานกลาง-สูง ฐานะการเงินแข็งแรง สามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง โดยตั้งแต่ต้นปี 2559 จนถึงปัจจุบัน (13 พฤษภาคม 2559) สามารถสร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 7.80% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 9.09% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 22.10%
นายสมิทธ์ กล่าวต่อว่า อีก 1 กองทุนที่มีผลงานดี คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2558 ถึง วันที่ 30 เมษายน 2559 จ่ายปันผลในอัตรา 0.200 บาทต่อหน่วย โดยแบ่งเป็นการจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2559 ในอัตรา 0.100 บาทต่อหน่วย และสำหรับการจ่ายปันผลงวดวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 นี้อีก 0.100 บาทต่อหน่วย ซึ่งถือเป็นการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้น 5.0600 บาทต่อหน่วย นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2544
ทั้งนี้ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach โดยการคัดเลือกลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดและสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น โดยจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้น และกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับสูงได้ โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2559 จนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 สามารถสร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 8.08% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 11.39% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 14.89%
“สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะต่อไปจะยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยจะยังคงมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ NPLs และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กดดันการบริโภคภาคเอกชน”นายสมิทธ์กล่าว