บลจ.ทาลิสพร้อมแล้วรุกธุรกิจกองทุนเต็มสูบ

บลจ.ทาลิสลุยธุรกิจกองทุนเต็มสูบ คาดไตรมาส 3 เตรียมส่งกองทุน 4 กอง ได้แก่ กองทุนตราสารตลาดเงิน กองทุนผสม กองทุนหุ้น และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น พร้อมตั้งเป้าปี 2560 เติบโต 10,000 ล้านบาท

นางโชติกา สวนานนท์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็น บลจ.แรกที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นเป็นบุคคลไม่ใช่สถาบัน โดยเป็นการรวมตัวของอดีตผู้บริหาร บลจ.ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจกองทุนรวมมาอย่างยาวนาน โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระเต็ม 100 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้น 7 ราย ประกอบด้วย 1) นางโชติกา สวนานนท์ 25.0% 2) นายฉัตรพี ตันติเฉลิม 25.0% 3) นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ 25.0% 4) นางณฤดี จันทร์แจ่มจรัส 10.0% 5) นายทนง พิทยะ 5.0% 6) น.ส.พัณณิน กิติพราภรณ์ 5.0% และ 7) น.ส.พลอย ปิ่นแสง 5.0%

โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีเลิศอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวให้แก่ผู้ลงทุน โดยจะประกอบธุรกิจใน 2 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และธุรกิจกองทุนรวม โดยในช่วงแรกนี้จะเริ่มต้นในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลก่อน และคาดว่าจะสามารถเปิดธุรกิจกองทุนรวมได้ช่วงไตรมาสที่ 2/59 ปีนี้

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ทาลิส จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้เปิดรับลูกค้ามาได้เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 59 ที่ผ่านมา มีลูกค้าสนใจเข้ามาแล้วบางส่วนมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท และในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 59 นี้น่าจะมีเข้ามาเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาทขึ้นไปได้ โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2559 จะมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคล 2,000 ล้านบาท และกองทุนรวม 3,000 ล้านบาท โดยลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลสามารถมาใช้บริการกับบริษัทได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 20 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนรวมเองบริษัทน่าจะเปิดตัวได้ช่วงไตรมาสที่ 3/59 นี้ โดยเบื้องต้นจะมีการจัดตั้งกองทุน 4 กอง ได้แก่ กองทุนตราสารตลาดเงิน กองทุนผสม กองทุนหุ้น และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น

“ในปี 2560 บริษัทคาดว่าเอยูเอ็มจะโตขึ้นอีก 100% เป็น 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคล 4,000 ล้านบาท และกองทุนรวม 6,000 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนและมีกำไรได้ในปีหน้าเลยเช่นกัน”

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีกระบวนการลงทุนที่จะปรับให้เป็นสไตล์ของตัวเองโดยร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์หุ้นและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จำนวน 15 บริษัท ที่จะมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่จะเข้ามาอยู่ในยูนิเวิร์สการลงทุนของบริษัท โดยจะต้องเข้ามาพรีเซ็นต์พร้อมโมเดลทางการเงินที่บริษัทจะปรับให้เหมาะกับสไตล์ของบริษัทอีกครั้ง โดยจุดที่แตกต่างคือทีมงานที่มีประสบการณ์และมุ่งเน้นในการทำธุรกิจกองทุนเพียงอย่างเดียว โดยยังเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่ผู้ลงทุนได้ จากสถิติตลาดหุ้น 41 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% แบ่งเป็นเงินปันผล 5% และกำไรจากราคาหุ้น 7%

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้าจากนี้คงเป็นบริบทใหม่ของตลาดหุ้นที่คงจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนมากเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยคงจะโตช้าลง มองไปข้างหน้าไทยคงโตเฉลี่ย 3.5% กำไรบริษัทจดทะเบียนโตเฉลี่ย 2 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศก็น่าจะโตได้ 7% เมื่อรวมกับเงินปันผลประมาณ 3% ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยข้างหน้าอาจจะอยู่ที่ 8-10% ในระยะยาวได้

“ด้วยประสบการณ์ของทีมงานและกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นดูดเงินลงทุนเอาไว้ให้ได้ในปีที่ตลาดหุ้นแย่ น่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่านั้นอาจจะเฉลี่ย 12-15% ซึ่งผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้เอง ส่วนในปีนี้ตลาดหุ้นไทยในภาพรวมยังน่าจะดี โดยกรอบการแกว่งเหมือน 2 ปีที่ผ่านมา กรอบล่างประมาณ 1,200 จุด ในขณะที่กรอบบนประมาณ 1,500 จุดแก่ๆ โดยหุ้นกลุ่มหลักทั้งพลังงาน แบงก์ รวมทั้งการบินไทยน่าจะกลับมาดีและโชว์กำไรโตได้เฉลี่ย 18% ในปีนี้”