บลจ.เมย์แบงก์มองตลาดเงิน ตลาดทุนในปี 59 ผันผวนจากเศรษฐกิจจีนชะลอ 9 ตัว แต่มองเศรษฐกิจโลกยังโต พร้อมออกกองทุนใหม่ กระจายลงทุนทั่วโลกชูผลตอบแทนดีระยะยาว ระบุปีที่ผ่านมากองทุนหลักสุดเจ๋งทำผลตอบแทนได้ถึง 19.8% เหตุยังมีหลายบริษัทให้ผลตอบแทนดีแม้เศรษฐกิจซบเซา
นายตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเงินตลาดทุนในครึ่งแรกปี 2559 ยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงซบเซาจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจของประเทศจีนที่อยู่ในช่วงชะลอตัวลงทำให้ต้องประกาศลดค่าเงินหยวน ปัจจัยด้านภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ตกต่ำ ความเสี่ยงด้านความขัดแย้งในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มเกิดสงครามและวิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนรุนแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มเติบโตจากในปีที่ผ่านมา ในส่วนของเศรษฐกิจจีนเองนั้นยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจีนจะสามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าในระดับ 6.5-6.8% ได้ไม่น่ากังวลอะไร ส่วนยุโรปเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเองคงต้องจับตามองนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ครั้งใหม่ก่อน
“ราคาน้ำมันหากปรับตัวลงมาต่ำกว่าระดับ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือต่ำกว่านั้นคาดว่าจะเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงจะไปเห็นผลในช่วงครึ่งปีหลังที่อาจจะทำให้มีการลดกำลังการผลิตตามมา ซึ่งราคาน้ำมันที่ระดับต่ำกว่า 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะกลางถึงยาวนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ มีแนวโน้มจะต้องปรับตัวขึ้นแต่อาจจะไม่ได้กลับไปสู่ระดับที่สูงเช่นในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้นเอง”
นายสุทิน แซ่โง้ว ผู้จัดการกองทุน ด้านตราสารทุน บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2558 นอกจากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงและแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมหลักหลายเรื่องด้วยกัน อันได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงรุนแรงต่อเนื่องจากปี 2558 ถึง 30% การประมูลคลื่น 1800 และคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ที่ราคาสูงกว่าที่คาดการณ์มาก สร้างความกังวลเกี่ยวกับภาวะการแข่งขันในอนาคต รวมถึงปัญหาหนี้เสียของภาคธนาคารที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่หุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็กที่มีการเติบโตของผลประกอบการชัดเจนและไม่ได้อ้างอิงกับภาวะเศรษฐกิจสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนที่ดีกว่า
สำหรับปี 2559 นั้น บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ที่ 1,400-1,450 จุด ที่ระดับราคาต่ำกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 14 เท่า ภายใต้สมมติฐานข้างต้น โดยอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดี ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ขนส่งและลอจิสติกส์ โดยความเสี่ยงที่สำคัญของตลาดหุ้นไทยคือเศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวรุนแรง ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลงอีก หรือสหรัฐฯ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับลงต่ำกว่า 1,200 จุดได้เช่นกัน
ด้านนายกิติวัจน์ อักรังษี ผู้จัดการกองทุน ด้านการจัดสรรการลงทุน บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทเตรียมจะเสนอขาย “กองทุนเปิดเมย์แบงก์ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ (M-UGG)” ระหว่างวันที่ 18 ม.ค.-2 ก.พ. 2559 มูลค่ากองทุน 1,000 ล้านบาท โดยจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund
ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกในรูปแบบการลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีการเติบโตสูงและมีโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยกำหนดหุ้นในพอร์ตการลงทุน 30-60 บริษัทชั้นนำของโลก และมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไม่เกิน 10% ต่อ 1 บริษัท เช่น กลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปฏิวัติเทคโนโลยีและปฏิวัติรูปแบบการใช้ชีวิต และกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ สามารถเอาชนะความเสี่ยงจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุน
โดยกองทุนดังกล่าวในรอบปี 2558 สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 19.8% สะท้อนให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจโลกจะซบเซาแต่ก็มีบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีที่กองทุนดังกล่าวไปลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้เสมอ หุ้นในพอร์ต เช่นบริษัท Tesla Motor ผู้ผลิตเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ให้ผลตอบแทนในปี 2558 เท่ากับ 7.9% บริษัท Amazon.com ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซที่ขายและจัดส่งสินค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่มีผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ 117.8% เป็นต้น โดยกองทุนจะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นด้านบริหารการจัดการเงินกองทุนให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา โดยคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวจะเป็นตัวเลข 2 หลัก