ทิพยประกันชีวิตตั้งเป้าเทรดตุลาคมนี้ เล็งยื่นไฟลิ่งภายในไตรมาสแรกปี 59 แต่ระบุต้องดูภาวะตลาดประกอบด้วย ลั่นกำไรเป็นไปตามเกณฑ์แน่นอน ส่วนปีนี้กวาดเบี้ยอีก 800 ล้านบาท ดันยอดเบี้ยรับรวมแตะ 6 พันล้านบาท
นายนพพร บุญลาโภ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันชีวิต เปิดเผยว่า แผนการเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้นนั้นบริษัทคาดว่าจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์หรือไฟลิ่งได้ประมาณไตรมาสแรกปีนี้หรือประมาณเดือนมีนาคม แต่จะเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้นภายในปีนี้หรือไม่นั้นขอรอดูภาวะและทิศทางของหุ้นก่อน ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนงานแล้วคาดว่าจะสามารถนำหุ้นออกจำหน่ายครั้งแรก (IPO) ได้ประมาณเดือนตุลาคมของปีนี้ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อม และยืนยันว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้ตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้แน่นอน
ส่วนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของเบี้ยรับรวมไว้ที่ 6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 800 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ทำเบี้ยได้ 5,200 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 15% ซึ่งน่าจะเป็นการเติบโตที่มากกว่าอุตสาหกรรมเพราะเชื่อว่าอุตสาหกรรมในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ระดับ 10% เท่านั้น
“เรากังวลเรื่องภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้ประชาชน และส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ เพราะสินค้าประกันนั้นลูกค้าจะซื้อได้ก็ต่อเมื่อมีเงินเหลือก่อน แต่ก็เชื่อมั่นว่าพันธมิตรของเราอย่างธนาคารออมสินจะช่วยผลักดันให้เบี้ยประกันถึงเป้าได้ โดยเสนอขายควบคู่ไปกับการปล่อยสินเชื่อและผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ของออมสิน” นายนพพรกล่าว
นายนพพร กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาเบี้ยประกันหลักประมาณ 70% ยังมาจากแบบประกันชีวิตเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารออมสินที่เป็นพันธมิตรหลัก ซึ่งตามแผนเดิมบริษัทตั้งใจจะปรับลดสัดส่วนเบี้ยประกันชีวิตเพื่อที่อยู่อาศัยลง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนจากเบี้ยประกันที่ได้รับแล้วพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจึงไม่มีความจำเป็นต้องลดลง ส่วนเบี้ยที่เหลืออีก 30% ก็มาจากแบบประกันสามัญประเภทอื่นที่ขายผ่านตัวแทนที่มีอยู่ประมาณ 3,000 คนเป็นหลัก ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะออกแบบประกันใหม่เป็นแบบตลอดชีพ และแบบสะสมทรัพย์
ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีอยู่ 1 หมื่นล้านบาทนั้น ในปีนี้คาดว่าจะทำได้ประมาณ 4.5% หรือ 500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ทำได้ 4.7% หรือ 403 ล้านบาท โดยยังคงเน้นลงทุนในส่วนของที่ให้ผลตอบแทนคงที่เป็นหลัก ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีอยู่เพียงเล็กน้อยประมาณ 100 ล้านบาทเท่านั้น
“ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน ช่วงที่ผ่านมาถ้าหุ้นตัวไหนมีกำไรเราจะขายทันที และหลังจากนี้ก็จะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งที่เรากำหนดไว้เบื้องต้นเป็น A- แต่ถ้ามี BBB+ ก็ลงทุนได้เช่นกัน” นายนพพรกล่าว
นายนพพร บุญลาโภ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันชีวิต เปิดเผยว่า แผนการเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้นนั้นบริษัทคาดว่าจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์หรือไฟลิ่งได้ประมาณไตรมาสแรกปีนี้หรือประมาณเดือนมีนาคม แต่จะเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้นภายในปีนี้หรือไม่นั้นขอรอดูภาวะและทิศทางของหุ้นก่อน ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนงานแล้วคาดว่าจะสามารถนำหุ้นออกจำหน่ายครั้งแรก (IPO) ได้ประมาณเดือนตุลาคมของปีนี้ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อม และยืนยันว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้ตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้แน่นอน
ส่วนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของเบี้ยรับรวมไว้ที่ 6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 800 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ทำเบี้ยได้ 5,200 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 15% ซึ่งน่าจะเป็นการเติบโตที่มากกว่าอุตสาหกรรมเพราะเชื่อว่าอุตสาหกรรมในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ระดับ 10% เท่านั้น
“เรากังวลเรื่องภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้ประชาชน และส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ เพราะสินค้าประกันนั้นลูกค้าจะซื้อได้ก็ต่อเมื่อมีเงินเหลือก่อน แต่ก็เชื่อมั่นว่าพันธมิตรของเราอย่างธนาคารออมสินจะช่วยผลักดันให้เบี้ยประกันถึงเป้าได้ โดยเสนอขายควบคู่ไปกับการปล่อยสินเชื่อและผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ของออมสิน” นายนพพรกล่าว
นายนพพร กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาเบี้ยประกันหลักประมาณ 70% ยังมาจากแบบประกันชีวิตเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารออมสินที่เป็นพันธมิตรหลัก ซึ่งตามแผนเดิมบริษัทตั้งใจจะปรับลดสัดส่วนเบี้ยประกันชีวิตเพื่อที่อยู่อาศัยลง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนจากเบี้ยประกันที่ได้รับแล้วพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจึงไม่มีความจำเป็นต้องลดลง ส่วนเบี้ยที่เหลืออีก 30% ก็มาจากแบบประกันสามัญประเภทอื่นที่ขายผ่านตัวแทนที่มีอยู่ประมาณ 3,000 คนเป็นหลัก ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะออกแบบประกันใหม่เป็นแบบตลอดชีพ และแบบสะสมทรัพย์
ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีอยู่ 1 หมื่นล้านบาทนั้น ในปีนี้คาดว่าจะทำได้ประมาณ 4.5% หรือ 500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ทำได้ 4.7% หรือ 403 ล้านบาท โดยยังคงเน้นลงทุนในส่วนของที่ให้ผลตอบแทนคงที่เป็นหลัก ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีอยู่เพียงเล็กน้อยประมาณ 100 ล้านบาทเท่านั้น
“ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน ช่วงที่ผ่านมาถ้าหุ้นตัวไหนมีกำไรเราจะขายทันที และหลังจากนี้ก็จะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งที่เรากำหนดไว้เบื้องต้นเป็น A- แต่ถ้ามี BBB+ ก็ลงทุนได้เช่นกัน” นายนพพรกล่าว