นักวิเคราะห์กองทุนรวม บล.ฟิลลิปแนะนักลงทุนลุยซื้อ LTF-RMF ไม่ต้องรอปลายปี พร้อมแนะ 5 อันดับ LTF ที่น่าลงทุน ขณะที่ บลจ.กสิกรไทยแนะทยอยสะสมหุ้นไทย รอรับดัชนีทะยานที่ 1,600 จุดในปี 2559
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2556-2557 จะพบว่าเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงิน LTF ที่เข้ามาตลาดหุ้นไทยนั้นมีสัดส่วนที่น้อยกว่าจึงทำให้มีผลต่อการตลาดหุ้น ซึ่งคาดว่าในปีนี้ปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนมีสัดส่วนเพียง 6,000 ล้านบาท น้อยกว่าเมื่อเทียบกับเม็ดเงิน LTF ที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงเดือนสุดท้ายของปีที่ 17,032 ล้านบาท จึงอยากแนะนำให้นักลงทุนซื้อ LTF โดยไม่ต้องรอปลายปี ซึ่งต้นทุนที่ได้ไม่น่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ เทคนิคการลงทุน LTF นั้นเราแนะนำให้ใช้การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA (dollar-cost averaging) ผสมการลงทุนแบบ Market Timing น่าจะช่วยกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทนได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนต้องเข้าใจก่อนการลงทุนนั้นก็คือ อาจซื้อ LTF-RMF ไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ งบประมาณลงทุนหมดก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวลดต่ำสุด โดยเฉพาะการใช้ Market Timing ส่วนการใช้ DCA นั้นก็ต้องใช้ความอดทนเพื่อเห็นผลลัพธ์จากการลงทุน นอกจากนี้ วินัยการลงทุนก็เป็นสิ่งสำคัญ ต้องไม่ตื่นตระหนกตามตลาด และทำตามวินัยที่ได้วางไว้อย่างเคร่งครัดนั่นเอง
สำหรับกองทุน LTF ที่เราแนะนำ 5 อันดับแรก ได้แก่
กองทุนเปิดภัทร หุ้นระยะยาวปันผล ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -6.91% ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 6.53% ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 11.54%
กองทุนเปิด ฟิลลิป หุ้นระยะยาว ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -10.17% ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 8.59% ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 12.72%
กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -10.37% ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 5.32% ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 13.80%
กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ คอร์ หุ้นระยะยาว ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -11.01% ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 7.82% ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 11.04%
กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟโกรทหุ้นระยะยาว ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -13.34% ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 6.15% ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 11.19%
ทั้งนี้ กองทุนที่แนะนำนั้นเป็นกองทุน LTF ที่ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกกองทุนจากอัตราผลตอบแทน 5 ปีสูงกว่าค่าเฉลี่ยกองทุน LTF ที่มีความผันผวนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มเดียวกัน
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกองทุน RMF นั้นเราแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนดังนี้ กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ 10% กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ 25% ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ กองทุนเปิดธนชาต Low Beta เพื่อการเลี้ยงชีพ 20% กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ 10% กองทุนดังกล่าวมีความน่าสนใจเนื่องจากในอนาคตจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้กองทุนเฮลท์แคร์มีความน่าสนใจ กรุงศรียุโรปอิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ 10% เศรษฐกิจยุโรปกำลังฟื้นตัวทำให้กองทุนหุ้นยุโรปมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว กองทุนเปิดฟิลลิปผสมเพื่อการเลี้ยงชีพ 20% ซึ่งกองทุนนี้มีความยืดหยุ่นช่วยปรับพอร์ตแบบ Market Timing เพื่อเพิ่มผลตอบแทน และอีก 5% ลงทุนในกองทุนเปิดเค โกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งจากสถิติแล้วราคาทองคำขึ้นลงสวนทางกับราคาหุ้น โดยการลงทุนในกองทุนนี้จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้
กสิกรไทยชวนลงทุน LTF/RMF
ด้านนายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น ความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้ ความผันผวนของตลาดหุ้นจีน รวมถึงความไม่ชัดเจนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ทั้งนี้ คาดว่าระยะเวลาที่เหลือในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ดัชนีหุ้นไทยจะยังแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามาสนับสนุน โดยบริษัทยังคงมุมมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ที่ระดับ 1,400-1,450 จุด ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน Forward P/E ในปี 2559 ที่ระดับ 13.5 เท่า
อย่างไรก็ตาม ด้วยมุมมองการลงทุนในระยะกลางถึงยาว บลจ.กสิกรไทยมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ โดยคาดการณ์ว่าในปีหน้าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกประมาณ 15.5% จากระดับปัจจุบัน และตั้งเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 ไว้ที่ระดับ 1,600 จุด ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ที่ระดับ 15 เท่า โดยคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในโครงการของภาครัฐที่น่าจะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ภายหลังจากที่มีความล่าช้ามาเกือบปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตามองหลังจากนี้คือ การติดตามผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลที่คาดว่าจะเริ่มส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี 2559 เป็นต้นไป รวมถึงการประมูลคลื่น 4G ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างรวดเร็วจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งคาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากกว่า 2 แสนล้านบาทขึ้นไป
ขณะที่ปัจจัยบวกภายนอกประเทศ ยังคงได้รับมาจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางใหญ่ๆ ของโลก เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือกรณีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้ตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่า FED น่าจะมีการเลื่อนปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปเป็นปีหน้า รวมถึงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีน ซึ่งอาจส่งผลทำให้ตลาดมีความผันผวนได้ในระยะสั้น
นายพงศ์พิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพิ่มเติมเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมทั้งการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่ง บลจ.กสิกรไทยมีกองทุน LTF/RMF หลากหลายนโยบายครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ลงทุน
โดยกองทุนที่แนะนำและมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20SLTF) ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2558 โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 2.28% และย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 14.18% ด้านกองทุนเปิดเค 70:30 หุ้นระยะยาวปันผล (K70LTF) ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -3.49% และย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 11.41% โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานดัชนี SET ซึ่งให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี และ 3 ปี อยู่ที่ -7.06% และ 10.17% ตามลำดับ