บลจ.แมนูไลฟ์มองหุ้นไทยราคาไม่แพงมาก ยังลงทุนสะสมได้ แรงขายจากต่างชาติไม่เยอะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ก่อสร้าง และอสังหาฯ
นางสาวจินตนา เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีมีการปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปีและปรับลดลงมาเนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่มีการปรับนโยบายทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียเหนือและอาเซียน โดยจะเห็นว่าการบริโภคในเอเชียไม่ได้ลดลงมาก แต่ที่เป็นภาคการส่งออกที่ปรับตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ส่งออกสินค้าเกษตรอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย รวมทั้งไทย แต่เศรษฐกิจไทยยังได้รับปัจจัยบวกด้านการส่งออกบางตัวและการท่องเที่ยวเป็นตัวช่วยเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวลงไปมาก ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยจากการลงทุนภาครัฐที่ต่อจากนี้ไปจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นจากช่วงก่อนหน้า
“ภาคการเกษตรของไทยได้รับผลกระทบมาก แต่โดยภาพรวมแม้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย รวมไปถึงการลงทุนต่างๆ ด้วย แต่ก็ยังมีการลงทุนในบางธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน”
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีการปรับตัวขึ้นบ้าง และมองว่าแรงขายจากต่างประเทศไม่น่าจะมีมากแล้วเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะมีเงินที่มาจากการซื้อกองทุน LTF-RMF เข้ามาในตลาด เป็นตัวหนุนให้ตลาดปรับตัวขึ้นไปได้ ขณะเดียวกันมองว่าราคาหุ้นไทยยังไม่แพงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
ขณะเดียวกัน กำไรของบริษัทจะทะเบียนก็ยังสูงกว่า รวมทั้งการจ่ายปันผลที่ประมาณ 3.3% ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน หุ้นไทยจึงยังน่าลงทุนสำหรับในระยะยาว มองหุ้นไทยปลายปีนี้ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล, CFA กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่น่าจะส่งกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก เพราะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเนื่องจากเศรษฐกิจที่ดี ดังนั้นในภาพใหญ่แล้วจึงมองว่าไม่น่าส่งผลกระทบอะไรต่อตลาดหุ้น ขณะเดียวกัน มองว่าค่าเงินบาทก็จะอ่อนค่าลงแต่ก็ไม่เพราะสะท้อนการรับรู้ไปแล้ว โดยมองว่าหุ้นไทยที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มท่องเที่ยว ก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ปัจจัยบวกจากการสร้างรถไฟฟ้า