ทิสโก้ มองเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่-ไทยช่วงสั้น หลังสหรัฐฯ ชะลอขึ้นดอกเบี้ย แนะลงทุนหุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลกรับ เทรนด์ธุรกิจกลุ่มสูงอายุ จับตาเงินไหลออกอีกระลอกหากมีข่าวขึ้นดอกเบี้ย พร้อมระบุสินทรัพย์เสี่ยงไตรมาสสุดท้ายได้รับความสนใจมากขึ้น
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า หลังจากสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยเนื่องจากยังคาดการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ชัดเจน จึงทำให้มีเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยในช่วงนี้ แต่การไหลเข้าของเงินในรอบนี้ยังไม่ชัดเจน เพราะเป็นการไหลเข้าเนื่องจากการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนมากกว่า เงินลงทุนที่แท้จริงยังไม่เข้าลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ดังนั้น หากมีข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ มาอีกก็ทำเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ได้อีก การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ช่วงนี้อาจเป็นจังหวะลงทุนได้ในระยะสั้น
ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นก็ได้รับผลจากเงินไหลเข้าในรอบนี้บ้างแต่ไม่มาก ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้มองว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ทั้งนี้ บลจ.ทิสโก้ แนะนำลงทุนในกองทุนเปิด ทิสโก้ ซิลเวอร์ เอจ ลงทุนเน้นหุ้นยุโรปซึ่งได้รับประโยชน์จากกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับผู้สูงวัย จากแนวโน้มของประชากรสูงวัย หรือ Aging Population หรือ SilverAge ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นเมกะเทรนด์ของโลก ทำให้เป็นโอกาสการลงทุนในหุ้นยุโรปที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของวัย Silver Age ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มบริการทางด้านสุขภาพ ยาและเวชภัณฑ์ บริการทางการเงิน สันทนาการ ท่องเที่ยว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่อการรักษาความปลอดภัย ธุรกิจยานยนต์ เป็นต้น
โดยกลุ่มผู้สูงวัยในยุโรปยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง จากข้อมูลของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และเครดิตสวิส ประชากรยุโรปที่มีอายุตั้งแต่ 55-64 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่มีความมั่งคั่งสุทธิในครัวเรือน (Household NetWealth) สูงที่สุดถึงเกือบ 2 แสนยูโร และต้องการความเป็นอยู่ที่ดี จึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มผู้สูงอายุจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หากพิจารณาหุ้นยุโรปที่เกี่ยวข้องกับวัย Silver Age ตั้งแต่ปี 1996-2014 พบว่า มีการเติบโตเฉลี่ยที่ดีกว่า MSCI Europe ทั้งยอดขายและกำไร โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องต่อ Silver Age มีการเติบโตของยอดขายโดยเฉลี่ย 6.9% และอัตราการเติบโตของกำไรโดยเฉลี่ย 9.9% ขณะที่ MSCI Europe อยที่ 5.8% และ 8.8% ตามลำดับ
“ราคาหุ้นของกลุ่มธุรกิจนี้แม้ว่าจะปรับตัวลงมาบ้างในช่วงนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีที่เข้าไปลงทุนซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นยุโรป ควรลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปแม้ว่าจะมีช่วงที่ราคาลงมาบ้างจึงควรลงทุนในระยะยาว”