บลจ.กสิกรไทยจ่ายปันผล 3 กองทุน LTF รวมกว่า 1,000 ล้านบาท มองหุ้นไทยยังรับปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจที่ยังหดตัวลงและต้องรอมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557-31 สิงหาคม 2558 ซึ่งประกอบด้วย กองทุนเปิดเค 70:30 หุ้นระยะยาวปันผล (K70LTF) โดยจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.34 บาทต่อหน่วย, กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค โกรทหุ้นระยะยาวปันผล (KGLTF) ในอัตรา 0.34 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 กันยายน 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 1,013.57 ล้านบาท
โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยมีผลการดำเนินงานติดลบกว่า 11% กองทุนหุ้นไทยส่วนใหญ่ต่างมีผลการดำเนินงานติดลบตามทิศทางภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทย รวมถึงความกังวลในตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ก่อให้เกิดความผันผวนและแรงเทขายอย่างหนักในตลาดการเงินทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จากกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการคัดเลือกหลักทรัพย์เป็นรายตัว (Stock Selection) และการบริหารการลงทุนอย่างระมัดระวังตามภาวะตลาด ทำให้กองทุน LTF ของบลจ.กสิกรไทยปรับตัวลงน้อยกว่าตลาด ซึ่งจากผลการดำเนินงานในรอบบัญชีที่ผ่านมา (1 ก.ย. 57 - 31 ส.ค. 58) กองทุนยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้จากเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นที่กองทุนถืออยู่ ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง กองทุนเน้นการลงทุนในหุ้นปันผล ประกอบกับเป็นฤดูกาลจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน ทำให้กองทุนสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ทั้งนี้ หากนับรวมการจ่ายปันผลในงวดก่อนหน้าแล้วจะคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยที่ 2.8-3% ต่อปี
“เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยกดดันเรื่องการขยายตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2558 โดยสภาพัฒน์ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือ 2.7-3.2% จากเดิมที่คาดไว้ 3.0-4.0% จากความกังวลของภาคการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง โดยตัวเลขส่งออกในเดือน ก.ค. 58 หดตัวลง 3.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 ตามการชะลอตัวของอุปสงค์ในตลาดโลกและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่สำคัญได้รับผลกระทบระยะสั้นจากเหตุลอบวางระเบิดในประเทศ ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังมีการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งน่าจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นโดยเฉพาะภาคการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน”
ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย มุมมองของ บลจ.กสิกรไทยคาดว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดโลกและเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาด อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากราคาปัจจุบันได้ปรับลงมามากแล้ว โดยปัจจัยสนับสนุนจะมาจากการเร่งเบิกจ่ายและการผลักดันโครงการลงทุนของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่เน้นช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร รวมถึงการลงทุนในโครงการขนาดเล็กที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ภาคการจ้างงาน ภาคการก่อสร้าง และการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในด้านการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน
ขณะที่แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทและการลดค่าเงินหยวนของจีนน่าจะเป็นแรงหนุนต่อภาคการส่งออกของไทย นอกจากนี้ สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกที่ยังอยู่ในระดับสูงจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางหลักๆ ของโลก เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหุ้น โดย บลจ.กสิกรไทยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ที่ระดับ 1,400-1,450 จุด ซึ่งคิดเป็น P/E ที่ประมาณ 13 เท่า ทั้งนี้ จากข้อมูลของการประมาณผลกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนของ Bloomberg ตลาดได้คาดการณ์อัตราการเติบโตทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ในปี 2558 นี้ที่ประมาณ 17% และในปี 2559 ที่ 14%