xs
xsm
sm
md
lg

โอกาสการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หลายท่านที่มีประสบการณ์การลงทุนและติดตามข่าวสารในแวดวงกองทุนรวม คงได้รับทราบถึงกระแสตอบรับที่ดีของกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลก (Global Healthcare) ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมากันมาบ้างแล้ว โดยตลาดในประเทศไทย กองทุนกลุ่มดังกล่าวมีเม็ดเงินไหลเข้ามากที่สุดในกลุ่มกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (ไม่รวมกองทุนประเภท term fund) โดยปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ 3.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 (หรือ 13%) ในกลุ่มกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (ข้อมูลจาก มอร์นิ่งสตาร์ ณ 30 มิ.ย. 58)

สำหรับตลาดในต่างประเทศ เม็ดเงินลงทุนกองทุนหุ้นกลุ่ม Global Healthcare ได้เติบโตเป็นบวกติดต่อกันมา 5 ปีแล้ว โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้น พ.ค. 58 มีเม็ดเงินไหลเข้าถึงกว่า 5.6 แสนล้านบาท หรือ 17.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (กราฟรูปที่ 1) นอกไปจากนั้น กองทุนรวมต่างๆ รวมถึงกองทุนประเภทเฮดจ์ฟันด์ต่างก็พากันให้น้ำหนักหุ้นกลุ่ม Healthcare สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

คงไม่น่าแปลกใจถึงกระแสความนิยมที่กล่าวถึงมากนัก หากเราได้เห็นข้อมูลผลตอบแทนของดัชนีหุ้น MSCI Global Healthcare ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ระดับ 21.2% ต่อปี และผลตอบแทนของดัชนีหุ้น S&P 500 Healthcare ตั้งแต่ต้นปี 2557 จนถึง พ.ค. 2558 ที่ 26% ซึ่งนับเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดของดัชนี S&P 500 และสูงกว่าดัชนี S&P 500 ถึงกว่า 3 เท่าตัว

สาเหตุที่หุ้นในกลุ่ม Healthcare ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากนั้นเกิดจากเหตุผลหลัก 2 ประการ ได้แก่ ผลประกอบการทั้งในแง่กำไรและยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Healthcare และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเอื้ออำนวยให้เกิดการควบรวมกิจการของบริษัทในกลุ่ม Healthcare เป็นระยะเวลาติดต่อมาหลายปี (การควบรวมกิจการก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ เช่น การเข้าถึงยา เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ การลดต้นทุน การเพิ่มเครือข่ายการตลาด ฯลฯ ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะทำให้ธุรกิจที่ควบรวมมีผลประกอบการที่ดีขึ้นและราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน)

หลายท่านอาจจะมีคำถามต่อไปว่า แล้วราคาหุ้นในกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่แพงไปแล้วหรือไม่ คำตอบคือ ถึงแม้ระดับราคาต่อผลกำไรหรือค่า P/E จะสูงกว่าตลาดโดยรวม แต่เมื่อพิจารณาถึงคาดการณ์การเติบโตของรายได้และผลกำไรในปีนี้ตลอดจนถึงปีหน้าพบว่าทั้งรายได้และผลกำไรหุ้นกลุ่ม S&P500 Healthcare สูงกว่าดัชนี S&P 500 อยู่อย่างมีนัย (ตารางที่ 1) ดังนั้น การลงทุนในหุ้น Healthcare จึงยังมีความน่าสนใจและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ (ดัชนี MSCI World Healthcare ประกอบด้วยหุ้นสหรัฐฯ 67.2% ณ 31 พ.ค. 58)

นอกจากนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ไม่เป็นเพียงแนวโน้มในระยะสั้น แต่เป็น Mega Trend ที่น่าสนใจด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นจากการที่อายุขัยเฉลี่ยของประชากรที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายในเรื่องการดูแลสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยบริษัท ดีลอยต์ ทูช โทมัตสุ คาดการณ์ว่า ในปี 2560 ประชากรโลกจะมีอายุยาวขึ้นเป็น 73.7 ปี เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2555 ที่อยู่ระดับ 72.6 ปี ซึ่งจะส่งผลให้ประชากรวัยสูงอายุทั่วโลก (อายุ 65 ปีขึ้นไป) มีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ จากคาดการณ์ทางสถิติพบว่าประชากรผู้สูงอายุในประเทศใหญ่ๆ เช่น อินเดีย จีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (กราฟรูปที่ 2)

อัตราการย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองใหญ่ (Urbanization Trend) ของประชากรเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นในหลายด้าน รวมถึงการเข้าถึงบริการต่างๆ รวมถึงบริการด้านสาธารณสุข ก็จะเป็นปัจจัยให้การใช้จ่ายด้านสุขภาพมีมากขึ้นในระยะยาวเช่นเดียวกัน โดยองค์การสหประชาชาติ (United Nation) ประมาณการว่าในอีก 35 ปีข้างหน้าสัดส่วนของประชากรที่ปัจจุบันอยู่ในเมืองหลวงที่ 54% จะปรับขึ้นเป็น 66%

ปัจจัยที่สำคัญประการสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ นโยบายของรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาในการปฏิรูปด้านสาธารณสุข ตัวอย่างที่หลายท่านคงเคยได้ยินคือ นโยบายโอบามาแคร์ของสหรัฐฯ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนอเมริกันเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพที่มีคุณภาพด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง ซึ่งใช้บังคับเป็นกฎหมายตั้งแต่ต้นปี 2557 จนถึงปัจจุบันได้เพิ่มจำนวนประชากรที่ไม่มีประกันสุขภาพไปแล้วประมาณ 10 ล้านคน และจะเพิ่มต่อเนื่องไปอีกกว่า 20 ล้านคน หนุนรายได้บริษัทกลุ่ม Healthcare ในภาพรวม

หลายท่านคงอยากทราบว่าหุ้นในกลุ่ม Healthcare นั้นประกอบไปด้วยธุรกิจใดบ้าง ปัจจุบันหุ้นกลุ่ม Healthcare แบ่งเป็น 4 ประเภทด้วยกัน คือ หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ (ธุรกิจที่ผลิตและคิดค้นยาที่เกิดจากกระบวนการเคมี) หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพหรือ Biotechnology (ธุรกิจที่คิดค้นวิจัยและผลิตยาด้วยกระบวนการที่ใช้สิ่งมีชีวิต) หุ้นกลุ่มบริการด้านดูแลสุขภาพ (บริษัทประกันและโรงพยาบาล) และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์ (คิดค้น/ผลิตนวัตกรรมและเครื่องมือทางการแพทย์) ตัวอย่างบริษัทที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ เวชสำอาง และเครื่องใช้สำหรับโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เป็นต้น มาถึงตอนนี้แล้วเชื่อว่าหลายท่านคงจะเห็นว่าหุ้นในกลุ่ม Healthcare นั้นยังเป็นทางเลือกในการลงทุนที่มีความน่าสนใจอยู่มากทีเดียว

คำเตือน
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
จัดทำ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 โดยนางสาวเบญจรงค์ เตชะมวลไววิทย์ ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย)


กำลังโหลดความคิดเห็น