บลจ.กสิกรไทยจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศ 5 กองทุนรวด รวมกว่า 589 ล้านบาท โชว์ผลดำเนินงานสุดยอด ตอกย้ำผู้นำกองทุน FIF เชียร์หุ้นเอเชีย-ยุโรป ยังแรงต่อเนื่อง
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 2558 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกในเกือบทุกภูมิภาคต่างปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้กองทุนภายใต้การจัดการของ บลจ.กสิกรไทยซึ่งลงทุนในภูมิภาคและกลุ่มธุรกิจต่างๆ มีผลประกอบการที่ดีจนสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ค่อนข้างสูงได้หลายกองทุน เช่น ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดเหนือ 2,000 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มไอทีและสินค้าฟุ่มเฟือย
ส่งผลให้กองทุน K-USA ของ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวในสัดส่วนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยในรอบผลดำเนินงานที่ผ่านมา (1 พ.ค. 57-30 เม.ย. 58) ให้ผลตอบแทนกว่า 20% และเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 11% อย่างไรก็ตาม ระดับราคาของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ประกอบกับปัจจัยด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกที่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมีการปรับฐานลงได้ ผู้ลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุนเพิ่มเติม
นายนาวิน กล่าวต่อว่า ส่วนมุมมองเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ นั้น บลจ.กสิกรไทยมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และยุโรป เนื่องจากมองว่ายังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจเอเชียจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจากประเทศหลักๆ เช่น เกาหลีใต้ จีน รวมถึงสภาพคล่องในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเอื้อให้เกิดเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย
ด้านตลาดหุ้นยุโรปแม้จะปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมาจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นและแรงกดดันจากตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาชะลอตัวลง แต่เชื่อว่าในระยะยาวยังคงน่าสนใจ เนื่องจากยังเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ECB ซึ่งจะทำการเข้าซื้อสินทรัพย์ด้วยวงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ตั้งแต่เดือน มี.ค.-ก.ย. 2559 รวมแล้วเป็นเงินกว่า 1.1 ล้านล้านยูโร ซึ่งน่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจยุโรปสามารถฟื้นตัวได้และส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นยุโรป จากปัจจัยที่กล่าวมาจึงเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และยุโรปเพิ่มเติมได้”
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 5 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย, กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย, กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ยังปันผลกองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน (K-GHEALTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ หุ้นทุน (K-GPROP) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 5 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 30 เมษายน 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 589 ล้านบาท
นายนาวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-EUROPE ในรอบบัญชีที่ผ่านมา (1 ส.ค. 57-30 เม.ย. 58) สามารถให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นถึง 19% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ปรับตัวบวกเพียง 2% โดยกองทุนมีจุดเด่นคือเน้นการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่มีอัตราการเติบโตสูง รวมถึงหุ้นที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากนอกประเทศซึ่งได้รับอานิสงส์จากค่าเงินยูโรที่มีทิศทางอ่อนค่าลงจากการอัดฉีดเม็ดเงินอย่างต่อเนื่อง ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน K-ASIA ในรอบบัญชีที่ผ่านมา (1 พ.ย. 57-30 เม.ย. 58) สามารถให้ผลตอบแทนกว่า 9% และสามารถจ่ายปันผลครั้งแรกในรอบบัญชีในอัตรา 0.35 หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 3.03% โดยกองทุนมีจุดเด่นคือการเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก และให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศเกาหลีใต้ จีน และอินเดีย รวมแล้วกว่า 70% ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนได้รับอานิสงส์มาจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายดังกล่าว
ด้านกองทุน K-GHEALTH สามารถจ่ายเงินปันผลได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนได้เพียง 5 เดือน โดยกองทุนสามารถให้ผลดำเนินงานกว่า 6% และมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงถึง 0.50 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 4.94% โดยกองทุนมีจุดเด่นคือ กองทุนหลักจะมีการกระจายการลงทุนไปในหุ้นหมวดสุขภาพทั่วโลก เช่น เวชภัณฑ์ เทคโนโลยีชีวภาพ บริการด้านดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสขยายตัวอย่างรวดเร็วตามนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ และปัจจุบันหุ้นในกลุ่ม Healthcare ได้ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ 1 ปี ย้อนหลัง ดัชนี MSCI World Health Care มีการปรับตัวขึ้นกว่า 20% โดยเอาชนะดัชนีหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้นเพียง 5%
ส่วนกองทุน K-GPROP มีการจ่ายปันผลเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในเดือนกันยายน ปี 2557 ที่ผ่านมา โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนสามารถให้ผลตอบแทนกว่า 8% และมีการจ่ายปันผลในครั้งนี้ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 2.43% ทั้งนี้ กองทุนมีจุดเด่นคือ กองทุนหลักมีการกระจายการลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย
โดยให้น้ำหนักลงทุนใน REIT เอเชียสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากเชื่อมั่นในแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในฮ่องกงที่มีอุปสงค์ในอุตสาหกรรมอสังหาฯ เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาที่ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ให้น้ำหนักในสหรัฐฯ และยุโรปต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากและเริ่มแพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต