บลจ.ไทยพาณิชย์มองหุ้นจีนผันผวน ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น จากปัจจัยบวกค่าเงินเยนอ่อนค่า ดันกำไร บจ.เพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่มขนาดกลาง-เล็กยังเติบโตได้ดี
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย รองกรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน กลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การลงทุนในต่างประเทศขณะนี้ยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากที่สุดเนื่องจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลส่งผลดีต่อตลาดหุ้น บริษัทของญี่ปุ่นมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าเงินเยนที่อ่อนลง รวมทั้งการให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ดังนั้นราคาหุ้นของญี่ปุ่นในระดับปัจจุบันถือว่าสูงเพราะยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปได้อีกมาก
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ให้ผลตอบแทนดี แต่ยังมีหุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็กที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่หากเลือกลงทุนถูก เพราะยังมีการเติบโตที่สูงมาก อย่างกลุ่มเฮลท์แคร์ ส่วนหุุ้นในกลุ่มยุโรป มองว่ายุโรปมีหลายกลุ่มประเทศ จึงต้องเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวเป็นหลัก จึงมองการลงทุนในยุโรปอยู่ในระดับกลาง ส่วนตลาดหุ้นจีนนั้น ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยเนื่องจากตลาดหุ้นจีนมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง จากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังเป็นการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และมีการแปรรูปสินค้าในประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกันรัฐบาลยังมีการควบคุมเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นจึงเป็นการลงทุนแบบเก็งกำไรเป็นหลัก ทำให้มีความผันผวนสูง
ส่วนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังนั้น มองว่าอาจจะปรับลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง หากรัฐบาลมองว่าเศรษฐกิจจะแย่ลงไปอีก ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาได้ในตอนนี้
ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์จึงออกกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ด้วยการคัดเลือกหุ้นของดัชนี iBillionaire ที่เน้นหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว มีอัตราการขยายตัวของผลกำไร (EPS growth) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าหุ้นในดัชนี S&P 500 ในขณะที่ EPS growth ของดัชนี iBillionaire อยู่ที่ 26.0% สูงกว่าเกือบสองเท่าของดัชนี S&P 500 ที่ระดับ 15.6%% (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ 2 ก.ค. 2558)
โดยพอร์ตการลงทุนของกองทุนจะเน้นเลือกหุ้นตามการลงทุนของมหาเศรษฐี 10 รายที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ มีพอร์ตการลงทุนที่เปิดเผยต่อสาธารณะไม่ต่ำกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เน้นลงทุนระยะยาว (Buy and Hold) แล้วจึงทำการคัดเลือกหุ้น 30 อันดับแรกที่นักลงทุนมหาเศรษฐีดังกล่าวถือครองในพอร์ตการลงทุนเหมือนกันโดยกระจายการลงทุนในหุ้นทั้ง 30 ตัวเฉลี่ยเท่าๆ กันคือตัวละ 3.33% ของดัชนี โดยกองทุนนี้จะเข้าไปลงทุนในหุ้นเองโดยตรง กองทุนดังกล่าวจะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินบาทไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละไม่เกิน 2 ครั้ง
“กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ (SCB Billionaire Fund) มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 16-23 กรกฎาคม 2558 ด้วยเงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท”