xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรไทยตั้งเป้า AUM 1.2 ล้านล้าน จ่อออกกองหุ้นลุย 4 ประเทศ AEC

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าสิ้นปี AUM โต 1.2 ล้านล้าน เน้นการลงทุนต่างประเทศ เตรียมออกกองทุนหุ้นในกลุ่ม AEC และกองทุน Index Fund คาดจีดีพีเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.8% ปัจจัยลบจากภัยแล้งและส่งออกติดลบ มองหุ้นไทยแนวรับต่ำสุด 1,400 จุด

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ. (กสิกรไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร หรือ AUM สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.11 ล้านล้านบาท ซึ่งในช่วงเดือนที่เหลือของปีบริษัทจะเน้นการลงทุนในกองทุนต่างประเทศและกองทุนตลาดเงินมากขึ้น เนื่องจากความผันผวนภายในประเทศทำให้นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงจากตลาดทุนนอกประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเป้าหมายในการเป็นผู้นำในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แม้ว่าช่วงปีนี้จะเติบโตช้าลง แต่ความต้องการในการบริหารจัดการเงินของนักลงทุนสถาบันที่เป็นมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนยังคงมีอยู่จำนวนมากเพียงแต่นักลงทุนเหล่านี้รอจังหวะในการลงทุนเท่านั้น

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,117,301 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 20.6% สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ทั้งในธุรกิจกองทุนรวม ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 22.4% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 15.5%

สำหรับประเภทกองทุนที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 คือ กองทุนต่างประเทศ 38% กองทุนตลาดเงิน 32% กองทุน LTF 25% และกองทุน RMF 26% โดยกองทุนที่มีการเติบโตมากสุดในช่วงครึ่งปีแรก คือ กองทุนต่างประเทศซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงถึง 24.6% และกองทุนตลาดเงินที่มีการเติบโตสูงถึง 31.6%

“6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทสามารถจ่ายปันผลให้แก่นักลงทุนต่อเนื่อง ทั้งกองทุนต่างประเทศ กองทุนหุ้นไทย และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ รวม 27 กองทุน คิดเป็นมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 4,000 ล้านบาท ในปีนี้ภาวะตลาดถือว่ามีความผันผวนทั่วโลก ดังนั้น กองทุนต่างประเทศของบริษัทจึงมีการลงทุนในหลากหลายภูมิภาค” นายวศินกล่าว

นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นการนำสินค้ากองทุนรวมที่ครอบคลุมการลงทุนไปทั่วโลก โดยจะเป็นการตั้งกองทุนและเข้าไปลงทุนเองโดยตรงในกลุ่มประเทศอาเซียนในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งได้เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ต้นปี 2557 ทั้งในด้านทีมงาน การศึกษาสภาพตลาดหุ้น และการวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็นรายตัวในกลุ่มประเทศสมาชิก AEC นอกเหนือประเทศไทย โดยขณะนี้ได้ศึกษาครอบคลุมกว่า 150 หุ้น จาก 4 ประเทศหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม บริษัทจึงมีความพร้อมที่จะเปิดเสนอขายกองทุนหุ้นอาเซียน ในชื่อกองทุน K-AEC ได้ในประมาณไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ พร้อมทั้งตั้งเป้าความเป็นผู้นำการลงทุนในอาเซียนนี้ด้วย

ขณะเดียวกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและนำเสนอทางเลือกการลงทุนทั้งในแง่ของประเภทสินทรัพย์และภูมิภาค บริษัทจึงจะขยายการลงทุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงกองทุนประเภทอ้างอิงกับดัชนี (Index Fund) ที่จะลงทุนในประเทศหรือในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เฉพาะเจาะจงเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการพัฒนาระบบบริการให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการผู้ลงทุนให้เข้าถึงการลงทุนได้อย่างรวดเร็วในทุกช่องทาง ล่าสุดได้มีการเปิดตัวบริการใหม่ DIY Target Fund บนระบบลงทุนออนไลน์ K-Cyber Invest ที่จะเป็นตัวช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนด้วยตนเอง

นายพงศ์พิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจและมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลัง มองว่าเศรษฐกิจโลกในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นำโดยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามและอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนในครึ่งปีหลัง ได้แก่ ความผันผวนในตลาดหุ้นจีน ปัญหาหนี้กรีซ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ กลยุทธ์การลงทุนของบริษัทเน้นการหาจังหวะปรับแผนการลงทุนให้รองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง และให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดที่ยังมีระดับราคาที่เหมาะสม เช่น เอเชีย ยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากตลาดกลุ่มนี้มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต เช่น มาตรการ QE ของธนาคารกลางในแต่ละแห่ง การฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัท เป็นต้น

สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าอัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะปรับลดลงอีกเพราะอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว โดยคาดการณ์จีดีพีในปีนี้อยู่ที่ 2.8% และมองดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,600 จุดแต่มีปัจจัยความผันผวนมาก มองแนวรับต่ำสุดอยู่ที่ 1,400 จุด ปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนตลาดหุ้นและความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ และการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือภัยแล้งที่อาจกระทบจีดีพีประมาณ 0.3-0.4% และการส่งออกที่มองว่าอาจติดลบ 1.7% ในปีนี้ โดยพอร์ตการลงทุนของกองทุนหุ้นไทย บริษัทได้ลดน้ำหนักในกลุ่มแบงก์ และพลังงานลง ถือเงินสด 5-10% และให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มส่งออก กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อสาร


กำลังโหลดความคิดเห็น