xs
xsm
sm
md
lg

มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 58 อยู่ที่ระดับ 1,600 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หุ้นเช้านี้ยังผันผวน โดนปัจจัยนอกเข้ากดดันซ้ำ กังวล ศก. ซบเซานานเกินไป กระทบกลุ่มแบงก์ ส่วนการส่งออกก็ไม่ดีขึ้น กังวลคำสั่งซื้อจะน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับมูลค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงไป ด้าน บลจ.กสิกรฯ มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 58 อยู่ที่ระดับ 1,600 จุด ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ที่ระดับ 16 เท่า โดยกลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลังจะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มส่งออก กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อสาร

นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 58 อยู่ที่ระดับ 1,600 จุด ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ที่ระดับ 16 เท่า โดยกลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลังจะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มส่งออก กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อสาร

ด้านมุมมองการลงทุนในตราสารหนี้ครึ่งปีหลัง บลจ.กสิกรไทย คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ หรือปรับลดลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวมีโอกาสปรับสูงขึ้นตามทิศทางการเคลื่อนย้ายของเงินลงทุนต่างชาติ

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น จะเน้นเพิ่มระยะเวลาการลงทุนที่ยาวขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม ส่วนกองทุนตราสารหนี้ทั่วไปจะเน้นจับจังหวะการลงทุน โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนคุณภาพเพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่ดีขึ้นด้วย

สำหรับแผนการดำเนินงาน และกลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลัง บริษัทยังเน้นกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่ครอบคลุมการลงทุนไปทั่วโลก (Global Investment) และอาศัยจุดเด่นของความเป็นผู้นำกองทุนรวมต่างประเทศ ที่มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และการกระจายการลงทุนไปยังเกือบทุกภูมิภาคทั่วโลกนี้ ขณะที่จะขยายศักยภาพการลงทุนเจาะลึกลงไปสู่ระดับภูมิภาค (Regional Player) โดยจะเข้าไปลงทุนโดยตรงในกลุ่มประเทศอาเซียน ต้อนรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจแห่งอาเซียน หรือ AEC ในช่วงปลายปีนี้

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ต้นปี 57 ทั้งในด้านทีมงาน การศึกษาสภาพตลาดหุ้น และการวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็นรายตัวในกลุ่มประเทศสมาชิกนอกเหนือประเทศไทย โดยขณะนี้ได้ศึกษาคลอบคลุมกว่า 150 หุ้น จาก 4 ประเทศหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม บริษัทจึงมีความพร้อมที่จะเปิดเสนอขายกองทุนหุ้นอาเซียน (ในชื่อกองทุน K-AEC) ได้ในประมาณไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ พร้อมทั้งตั้งเป้าความเป็นผู้นำการลงทุนในอาเซียนนี้ด้วย

นอกจากนี้ ยังจะขยายการลงทุนไปยัง Sector ใหม่ๆ รวมถึงกองทุนประเภท Index Fund ที่จะลงทุนในประเทศ หรือในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เฉพาะเจาะจงเพิ่มขึ้น รวมถึงยังได้มีการพัฒนาระบบบริการให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการผู้ลงทุนให้เข้าถึงการลงทุนได้อย่างรวดเร็วในทุกช่องทาง ซึ่งล่าสุด ได้มีการเปิดตัวบริการใหม่ DIY Target Fund บนระบบลงทุนออนไลน์ K-Cyber Invest ที่จะเป็นตัวช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควบคู่ไปกับระบบบริการเหล่านี้จะช่วยตอบโจทย์ และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าได้สามารถตัดสินใจเข้าลงทุนได้อย่างรวดเร็ว ไม่พลาดโอกาสในทุกสถานการณ์ลงทุน

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจ และมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลัง เห็นว่า เศรษฐกิจโลกในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นำโดยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม และอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนในครึ่งปีหลัง ได้แก่ ความผันผวนในตลาดหุ้นจีน ปัญหาหนี้กรีซ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ กลยุทธ์การลงทุนของ บลจ.กสิกรไทย จึงเน้นการหาจังหวะปรับแผนการลงทุนให้รองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง และให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดที่ยังมีระดับราคาที่เหมาะสม เช่น เอเชีย ยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากตลาดกลุ่มนี้มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต เช่น มาตรการ QE ของธนาคารกลางในแต่ละแห่ง และการฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัท เป็นต้น

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจไทย คาดว่าตลาดน่าจะมีการปรับคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีในปี 58 ลงอีก ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย รวมถึง บลจ.กสิกรไทย คาดการณ์การเติบโตไว้อยู่ที่ระดับ 2.8% โดยปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนตลาดหุ้น และความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ และการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงปัจจัยบวกจากสภาพคล่องในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ เหตุการณ์ภัยแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป รวมถึงความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งจะมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออก

ด้าน นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งปี 58 จะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจจัดการกองทุนด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,117,301 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 20.6% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558) รวมถึงยังสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ทั้งในธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 22.4% และ 15.5% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ประเภทของกองทุนรวมที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ได้แก่ กองทุนต่างประเทศ (FIF) กองทุนตลาดเงิน กองทุน LTF และกองทุน RMF ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 38%, 32%, 25% และ 26% ตามลำดับ โดยกองทุนที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ กองทุนต่างประเทศ ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงถึง 24.6% และกองทุนตลาดเงินที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 31.6%

ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมในรอบ 6 เดือน บลจ.กสิกรไทย สามารถบริหารกองทุนให้มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ และมีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งกองทุนต่างประเทศ กองทุนหุ้นไทย และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ รวม 27 กองทุน คิดเป็นมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 4,000 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2558 นับว่าเป็นปีที่ภาวะตลาดมีความผันผวนทั่วโลก ดังนั้น กองทุนต่างประเทศของ บลจ.กสิกรไทย ที่มีการลงทุนในหลากหลายภูมิภาคจึงให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เช่น กองทุน K-JP ให้ผลตอบแทน 19.10%

ขณะที่กองทุน K-ASIA ให้ผลตอบแทน 8.04% เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนต่างประเทศส่วนใหญ่ของ บลจ.กสิกรไทย ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าเมื่อตลาดในแต่ละประเทศได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่แตกต่างกัน การที่ บลจ.กสิกรไทย มีหลายกองทุนที่แยกการลงทุนในแต่ละภูมิภาคนี้ ผู้ลงทุนจึงมีโอกาสเลือกลงทุนที่สอดคล้องต่อความต้องการได้ และไม่พลาดโอกาสไป


กำลังโหลดความคิดเห็น