บลจ.กรุงไทยเล็งออกกองรีทส์เพิ่ม ชูลงทุนในสำนักงานอีก 2,000 ล้านบาท เผยมีแนวคิดจะทำกองทุนอินฟราฯ คล้ายกับกอง EGAT หลังมีนักลงทุนสนใจต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐวิสาหกิจยังมีสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ คาดว่าหากมีการจัดตั้งกองทุนน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เรามีแผนที่จะออกกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือกองรีทส์ ในเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ออฟฟิศสำนักงาน มูลค่า 2,000 ล้านบาท ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการยื่นเรื่องขออนุมัติจาก ก.ล.ต.อยู่ คาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
โดยปัจจุบัน บลจ.กรุงไทยมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ในอุตสาหกรรมมีสินทรัพย์ โดยไม่รวมกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ EGATIF อยู่ที่ 150,000 ล้านบาท
สำหรับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้เข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรกเมื่อวานนี้ (13 ก.ค.) โดยกองทุนนี้นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจเพราะมีผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาว โดยเรามองว่าในอนาคตอาจจะมีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรัฐวิสาหกิจในแบบเดียวกันนี้อีก อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่ากองทุนนั้นจะมีความเหมะสมแค่ไหน ซึ่งยังมีรัฐวิสาหกิจอีกหลายตัว ทั้งท่าเรือ ประปา ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ ซึ่งหากจะจัดตั้งเป็นกองทุนคาดว่าจะต้องเป็นกองทุนที่มีรายได้แน่นอนและสม่ำเสมอ
ขณะเดียวกัน กองทุนรวม EGATIF ยังได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัย 4 ประเภท เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อโรงไฟฟ้าฯ ในกรณีที่โรงไฟฟ้าฯ ได้รับความเสียหายและมีผลกระทบต่อรายได้ค่าความพร้อมจ่าย อาทิ ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก โดยหากโรงไฟฟ้าฯ ได้รับความเสียหายและไม่มีความพร้อมในการผลิตไฟฟ้า กฟผ.จะได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยและจะส่งมอบสินไหมทดแทนดังกล่าวให้แก่กองทุนรวมฯ
นางชวินดา กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนกองทุนอื่นๆ อย่างกองทุนส่วนบุคคล ล่าสุด ณ เดือนมิถุนายนมีสินทรัพย์อยู่ที่ 34,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปลายปีที่ผ่านมา 30,000 ล้านบาท ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีสินทรัพย์อยู่ที่ 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาท ทาง บลจ.กรุงไทยมีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจกองทุนด้วยการตั้งฝ่ายที่ปรึกษาและพัฒนาตัวแทนอิสระเพื่อขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมามีลูกค้าเปิดบัญชีกับ บลจ.กรุงไทยเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีบัญชีลูกค้ากว่า 200,000 บัญชี โดยการขยายฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อธุรกิจกองทุนรวมในด้านต่างๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังความต้องการลงทุนจากภาครัฐยังเป็นปัจจัยสำคัญจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ หากเศรษฐกิจมีทิศทางดีขึ้นแบงก์ก็จะเริ่มปล่อยสินเชื่อ ทำให้มีผลต่อเม็ดเงินที่จะไหลเข้ากองทุนรวมโดยเฉพาะในกลุ่มมันนีมาร์เกตฟันด์ และเชื่อว่ารัฐบาลไม่น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
“ทาง บลจ.กรุงไทยก็ยังมองหาการลงทุนในตลาดต่างประเทศอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ในกลุ่มเอเชีย ที่จะมีกองทุนหุ้น และกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ในตลาดหุ้นจีน H-Share ที่ราคายังถูกและกำลังมองหาจังหวะเข้าลงทุนอยู่”