xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.กรุงไทยชี้หุ้นไทยรอปัจจัยหนุน ยังคงกรอบดัชนีปีนี้ที่ 1,600 จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.กรุงไทยชี้หุ้นไทยรอปัจจัยหนุนจากการลงทุนภาครัฐ เผยเตรียมออกกองทุนต่างประเทศอีกในปีนี้ เน้นตลาดเอเชีย ล่าสุดเตรียมเปิดตัวกองทุนหุ้นตลาด MAI

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนของตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังนี้ยังมีมุมมองเป็นบวกตามแรงกระตุ้นของภาครัฐบาลผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งมีโอกาสมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากหลังจากครึ่งแรกของปีเกิดความล่าช้าไม่เป็นตามเป้าหมายที่คาดไว้ ดังนั้น หากสถานการณ์เป็นไปตามที่ประเมินไว้ หุ้นไทยปีนี้จะแตะที่ระดับ 1,600 จุดได้ไม่ยาก

โดยหลักทรัพย์ที่น่าสนใจและเหมาะต่อการเข้าลงทุนยังคงเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารบริษัทมองว่ามีศักยภาพดี แม้ช่วงที่ผ่านมาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจนต้องมีการตั้งสำรองเพิ่มเกือบทุกธนาคารก็ตาม ทั้งนี้ หากหนี้เสียดังกล่าวช่วงไตรมาสสองออกมาดี หุ้นธนาคารมีโอกาสกลับมาได้อีกครั้ง

สำหรับแผนการออกกองทุนหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงมีกองทุนออกต่อเนื่อง หากมีจังหวะที่ดี นอกจากจะออกกองทุนหุ้นไทยแล้วยังมีแผนออกกองทุนต่างประเทศด้วยเช่นกัน เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นเอเชียโดยรวม และกองทุนหุ้นเอเชียเน้นแบบมีนโยบายการลงทุนและกลยุทธ์เฉพาะเจาะจง รวมถึงกองทุนหุ้นที่ลงทุนในประเทศภูมิภาคเอเชียเหนือ รวมทั้งมีกองทุนหุ้นจีนและกองทุนอินเดียอีกด้วย

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทกำลังพิจารณาการออกกองทุนหุ้นที่ลงทุนในตลาด mai โดยต้องหาแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับตลาด และขนาดกองทุนอาจจะไม่ใหญ่มากประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่เพื่อเป็นการเสนอทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนจากแนวโน้มการเติบโตที่ดีของหุ้นในตลาด mai ให้แก่ผู้ลงทุน คาดว่าจะเสนอขายกองทุนดังกล่าวได้ภายในช่วงไตรมาส 3/58 นี้

ส่วนผลตอบแทนของกองทุนหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมายังคงสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง YTD สูงถึง 7% เชื่อว่ากองทุนหุ้นของบริษัทยังคงสร้างผลตอบแทนดีต่อเนื่อง แม้ภาวะหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนบ่อยครั้งก็ตาม พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงมั่นใจมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) สิ้นปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 687,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 15%


กำลังโหลดความคิดเห็น