โดยดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากภาวะความกังวลเรื่องการปัญหาหนี้ของประเทศกรีซ จนถึงขณะนี้ ปัญหาดังกล่าว ก็ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามต่อไปว่าการเจรจาจะออกมาในรูปแบบใด โดยในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ผู้ลงทุนต้องติดตามผลการประชุมสุดยอดฉุกเฉินตัวแทนของ 19 ประเทศ ในยูโรโซน เพื่อตัดสินอนาคตของประเทศกรีซ โดยประเทศสมาชิกยูโรโซนให้เวลากรีซยื่นข้อเสนอสำหรับการปฎิรูปเพื่อแลกกับเงินกู้ ซึ่งไม่ว่าผลจากการประชุมจะออกมาในรูปแบบใด ประเทศกรีซต้องออกจากประเทศสมาชิกยูโรโซน หรือว่า ประเทศกรีซมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เพื่อรับเงื่อนไขการชำระหนี้ ผมมองว่า ปัญหาหนี้เรื่องนี้ ก็ยังต้องให้ระยะเวลาอีกยาว เพื่อให้เกิดความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่เศรษฐกิจในกลุ่มเอเชียจะยังสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจในกลุ่มเอเชียเหนือ อาทิ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ มีโอกาสฟื้นตัวที่ดีขึ้น มาจากมาตรการการสนับสนุนเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยเริ่มจากทางการประเทศจีนได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ส่งให้อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมลดลงเป็น 4.85% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงเป็น 2% พร้อมกับการปรับลดอัตราการปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์(RRR) โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ในพื้นที่ชนบท/รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเงินทุน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระบบตามเป้าหมาย ประเทศญี่ปุ่นได้รับอานิสงส์จากค่าเงินที่อ่อนค่าลง ทำให้บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีขึ้น อีกทั้งอัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเห็นได้อย่างชัดเจน โดย GDP ในไตรมาส1/2558 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.9% จากไตรมาส 4/2557 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.2% ซึ่งเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นขยายตัวได้ดีจากภาคการส่งออก ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2% ดังนั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทางการญี่ปุ่นยังคงต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ประเทศไต้หวัน บริษัทคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นการเติบโตจากการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งผมมองว่า ยอดขายสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีจะปรับตัวดีขึ้น จากการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าเช่น ประเทศจีนและสหรัฐฯ นอกจากนี้ ธนาคารกลางประเทศไต้หวันมีการเข้าควบคุมทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ(Foreign Reserve) และลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกในอนาคต สำหรับประเทศเกาหลีใต้ ผมมองว่า ภาคการบริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวตามมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีเม็ดเงินไหลเข้าระบบเศรษฐกิจ จากการที่ภาครัฐดำเนินงบประมาณเพิ่มเติมกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 4.6 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส MERS ในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ด้านการลงทุนในหุ้น ปัจจัยเศรษฐกิจไม่ได้เป็นจุดที่การลงทุนให้ความสำคัญนัก เพราะดัชนีหุ้นมักจะเป็นดัชนีชี้นำถึงภาวะเศรษฐกิจเสมอ เพราะการลงทุนเป็นการคาดการณ์การเติบโตในอนาคต ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือ ในปี 2558 นี้ ผมมีมุมมองเชิงบวกต่อดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเหนือ กลยุทธ์การลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง ผมแนะนำว่าในแง่การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ผมให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นอันดับแรกเพราะจะมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดหุ้นจากการทำ QE เพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเริ่มในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ถึงสิ้นปี
สำหรับตลาดหุ้นของประเทศจีน การปรับตัวลดลงมากในระดับปัจจุบัน โดยมูลค่าหุ้นในตลาด H-Share ยังอยู่ในระดับที่น่าลงทุน เพราะจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นจีนอีกมาก จากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การเข้าลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่ ประเทศไต้หวันตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคม 2559 นอกจากนี้ ไต้หวันมีนโยบายผ่อนคลายเกณฑ์การลงทุนในหุ้นจีน และแผนการเพิ่มโควต้าการลงทุนจาก 500 ดอลลาร์เป็น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยจากจีนสามารถเปิดบัญชีและลงทุนในไต้หวันได้ สำหรับประเทศเกาหลีใต้ มูลค่ายังคงในระดับที่น่าสนใจลงทุน ผมมองว่า ตลาดหุ้นเกาหลีใต้มีโอกาสฟื้นตัวได้หลังไตรมาส 3/2558 จากภาคการส่งออกของเกาหลีใต้ ซึ่งบ่งบอกถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนได้
ในภาวะที่ตลาดราคาหุ้นปรับลดลงจากความผันผวนของกระแสข่าว และในช่วงที่ยุโรปยังต้องรอการแก้ไขปัญหาหนี้ของประเทศกรีซและทางตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ยังต้องติดตามเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปลายไตรมาส3/2558 จึงถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะปรับพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะการกระจายการลงทุนในตลาดที่เราเชื่อมั่นว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี
สำหรับบลจ.วรรณในช่วงนี้จึงแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มเอเชียเหนือ โดยระหว่างวันที่ 10-15 กรกฎาคม นี้ บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ นอร์ทเอเชีย 10 ฟันด์ ที่มีเป้าหมายลงทุน 10% ภายในระยะเวลา 10 เดือน โดยมีนโยบายลงทุนใน ETF ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนตามการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ความโดดเด่นของกองทุนนี้ คือนโยบายการบริหารกองทุนเชิงรุก(Active Fund) ซึ่งสามารถปรับตัวสัดส่วนการลงทุนได้ 0-100% ให้มีความเหมาะสมและทันกับสภาวะตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นใดตลาดหุ้นหนึ่งมีความผันผวน สำหรับท่านที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.วรรณ ครับ
•นักลงทุนสามารถสอบถามเพิ่มเติมและขอรับร่างหนังสือชี้ชวนได้ที่ฝ่ายบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจที่หมายเลข 02-659-8888 ต่อ 1 ครับ
•“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน”