xs
xsm
sm
md
lg

“เอสซีบี” มั่นใจ SET Index ปี 58 พุ่งถึงเป้า 1,800 จุด กำไร บจ.ยังโตสูง 27% จากฐานที่ต่ำในปีก่อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“บล.ไทยพาณิชย์” มองแนวโน้ม SET Index ไตรมาส 3/58 ผันผวนในกรอบ 1,600-1,650 ก่อนพุ่งถึงเป้า 1,800 จุด พร้อมคาดกำไร บจ. ในปี 58 จะเติบโตสูงถึง 27% จากฐานที่ต่ำในปี 57 และราคาน้ำมันฟื้นตัวดีขึ้น

นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) มองแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/58 ว่า น่าจะมีความผันผวน มองกรอบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,600-1,650 จุด โดยมีแนวรับที่ 1,460-1,464 จุด เนื่องจากได้รับปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ ทั้งกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินตึงตัวขึ้นในการประชุมวันที่ 28-29 ก.ค.58 และมีโอกาสสูงที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นี้ ประเมินว่าน่าจะเป็นการปรับขึ้นอย่างช้าๆ แต่น่าจะส่งผลทำให้เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่เข้าสู่สหรัฐฯ

อีกทั้งวิกฤตหนี้ในกรีซไม่น่าจะยุติลงในระยะเวลาอันใกล้ แต่น่าจะเห็นความชัดเจนขึ้นบ้างของการเจรจากับกลุ่มเจ้าหนี้ใน 1-2 สัปดาห์นี้ และสถานการณ์โรคไวรัสเมอร์ส ยังคงสร้างความกังวลต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่อการท่องเที่ยว

ขณะเดียวกัน ในด้านเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่ำ ซึ่งปีนี้คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) น่าจะอยู่ที่ 3% ได้รับแรงหนุนจากการลงทุนของภาครัฐช่วงครึ่งปีหลังเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนภาคเอกชนที่น่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้

ขณะที่ภาคการส่งออกยังคงหดตัว คาดว่าทั้งปีจะติดลบ 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และการนำเข้าปรับตัวลงแรงกว่า อาจลบสูงถึง 5% ส่งผลทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงต่อเนื่องถึง 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับที่เกินดุลถึง 1.31 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีก่อน

สำหรับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน พบว่า ความต้องการสินเชื่อทุกประเภท เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย และรถยนต์ เป็นต้น ยังคงเป็นบวก แม้แนวโน้มชะลอตัวลง ส่วนภาวะสินเชื่อโดยรวมค่อนข้างตึงตัว เนื่องจากสถาบันการเงินมีความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่อาจสูงขึ้น เพราะความสามารถในการชำระเงินของลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงที่ส่งผลต่อการอุปโภคบริโภคของประเทศ

อย่างไรก็ตาม SCBS ยังคงมองเป้าหมาย SET Index ปี 58 จะไปถึง 1,800 จุดได้ เพราะความกังวลต่างๆ ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด วิกฤตหนี้กรีซ จะค่อยๆ ลดลง และในไตรมาส 4/58 น่าจะเห็นการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทยฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลังหากเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ เชื่อว่า ภาคการส่งออกรายเดือนน่าจะติดลบลดลง การบริโภค หรือการจับจ่ายใช้สอยประชาชนน่าจะดีขึ้น รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่น่าจะสูงขึ้นมาที่ 73-75% ได้

พร้อมทั้งประเมินค่าเงินบาทช่วงต่อจากนี้จะเคลื่อนไหวที่ราว 34-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับตัวอ่อนค่าลงตามทิศทางการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก

ทั้งนี้ SCBS คาดว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 58 คาดว่า จะเติบโตสูงถึง 27% จากฐานที่ต่ำในปี 57 และราคาน้ำมันฟื้นตัวดีขึ้น โดยกลุ่มที่จะมีการรายงานกำไรเติบโตสูงที่สุด คือ ประกัน ขนส่ง ปิโตรเคมี ท่องเที่ยว พลังงาน และอาหาร ขณะที่กลุ่มสื่อ อาจมีกำไรหดตัวลง สาเหตุจากต้นทุนที่เกี่ยวข้องต่อการเริ่มต้นทำธุรกิจดิจิตอลทีวี ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในระดับทรงตัว

นายอิสระ แนะนำว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลดีจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศ ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3/58 เป็นต้นไป ได้แก่ หุ้น ADVANC ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ คาดผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.8% และกำไรสามารถเติบโตได้ถึง 10% แม้ไม่มีบริการ 4G

AEONTS ถูกที่สุดในกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่ออุปโภคบริโภค ด้วย PER 8.7 เท่า และ EPS โต 12% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้น การตั้งสำรองน้อยลง ต้นทุนทางการเงินลดลง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เติบโตในอัตราชะลอตัวลง

CPALL ประเมิน EPS เติบโตสูง 33% ในปีนี้ และมี upside จากการขายหุ้นบางส่วนใน MAKRO

GLOBAL หุ้น laggard ที่กำไรฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2/58 โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้นการขยายสาขา และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น

KBANK หุ้น laggard ซื้อขายที่ระดับ PBV เฉลี่ยในอดีต -1SD และราคาหุ้นที่ลดลง 15% สะท้อนถึงความกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับ NPL และ NIM

และ TRUE บริการโทรศัพท์ที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ กำไรจะฟื้นตัวในปี 58 และเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 59 เนื่องจากบริษัทได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม

นายอิสระ กล่าวว่า จากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีนที่คาดการณ์กันว่า จะมาจากภาวะฟองสบู่ มองว่าไม่ได้มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง ซึ่งการปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีนน่าเป็นผลทางจิตวิทยา เมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นแรง ก็ต้องมีการปรับตัวลดลงมาบ้าง แต่เชื่อว่า ทางตลาดหุ้นจีนจะมีมาตรการออกมาควบคุมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกัน กองทุนหรือโบรกเกอร์ที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนน่าจะมีการขายทำกำไรออกมาบ้างแล้ว จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก


กำลังโหลดความคิดเห็น