xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ ปันผลกองต่างประเทศ มูลค่ารวมกว่า 800 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

บลจ.กสิกรฯ ปันผลกองทุนต่างประเทศ 4 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท พร้อมกัน 12 มิ.ย.นี้ พบเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) จ่ายสูงสุดในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย โชว์บริหารครึ่งปีจ่ายปันผลไปแล้วกว่า 26 กองทุน หรือกว่า 4,000 ล้านบาท

นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยถึงผลดำเนินงานการจ่ายปันผลกองทุนรวมของบริษัทตั้งแต่ช่วงต้นปีถึง ณ เดือนมิถุนายน 2558 ว่า บริษัทมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนแล้วรวม 26 กองทุน รวมเป็นมูลค่าเม็ดเงินกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าบริษัทมีการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ล่าสุดบริษัทได้เตรียมจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศอีกจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100 (K-USXNDQ) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558-31 พฤษภาคม 2558, กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) ในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557-31 พฤษภาคม 2558, กองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557-31 พฤษภาคม 2558 และกองทุนเปิดเค โกลบอล อิควิตี้ (K-GLOBE) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557-31 พฤษภาคม 2558 โดยทั้ง 4 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 2 มิถุนายน 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 12 มิถุนายน 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 804.43 ล้านบาท

นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าวถึงมุมมองการลงทุนในต่างประเทศว่า เศรษฐกิจโลกในภาพรวมยังมีปัจจัยกดดันเรื่องการชะลอตัว เนื่องจากประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ยังมีการฟื้นตัวที่ไม่ชัดเจน ทั้งนี้ IMF ได้ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2558 ที่ 3.5% และในปี 2559 ที่ 3.8% นอกจากนี้มองว่าตลอดทั้งปีนี้ ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จะยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาหนี้ของกรีซ ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ความผันผวนของราคาน้ำมัน รวมถึงจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังคงไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังมีอยู่สูงจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจากหลายประเทศจะยังส่งผลดีต่อตลาดการเงินและตลาดทุนทั่วโลกด้วยเช่นเดียวกัน

นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับกองทุน K-GA และ K-GLOBE เป็นกองทุนที่กระจายการลงทุนทั่วโลก โดยมีข้อแตกต่างคือ K-GLOBE จะเน้นการลงทุนในหุ้น ในขณะที่กองทุน K-GA จะกระจายลงทุนในแง่ของตราสารด้วย กล่าวคือ K-GA จะลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ โดยกองทุนแม่ (Master Fund) จะปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนั้นจึงช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว

“ปัจจุบันกองทุน K-GA ยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากกว่าตราสารหนี้ เนื่องจากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ยังมีความน่าสนใจน้อย ซึ่งปัจจุบันกองทุนมีสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้เพียง 20% ขณะที่มีสัดส่วนในหุ้นประมาณ 63% โดยให้น้ำหนักในหุ้นสหรัฐฯ น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เพราะมองว่าระดับราคาหุ้นค่อนข้างสูงหลังดัชนีปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่จะเน้นลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางญี่ปุ่น ด้านกองทุน K-GLOBE ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยให้เหตุผลด้านระดับราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้มีโอกาสในการปรับขึ้นค่อนข้างจำกัด ขณะที่จะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรปมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ ผลดำเนินงานในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา-วันที่ 4 มิ.ย. 2558 กองทุน K-GLOBE ให้ผลตอบแทนที่ 9.33% และสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานดัชนีหุ้นโลก (MSCI ACWI) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ 5.83% (ที่มา : บลจ.กสิกรไทย)” นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าว

สำหรับกองทุน USXNDQ และ K-CHINA ซึ่งจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศของตลาดใดตลาดหนึ่งนั้น นายพงศ์พิเชษฐ์ให้ความเห็นต่อไปว่า “สำหรับสถานการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาสที่ 1 ส่วนใหญ่ออกมาดี โดยกว่า 71% ของบริษัทมีผลประกอบการออกมาดีกว่าค่าเฉลี่ย และช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ New High เหนือระดับ 2,100 จุด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มไอที ที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำรายได้สูงเป็นอันดับ 2 รองจากหุ้นกลุ่มสุขภาพ ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี-5 มิ.ย 2558 ดัชนี Nasdaq ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มไอที สามารถปรับตัวขึ้นกว่า 6% ขณะที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นประมาณ 2% อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากและอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้ว โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไร (Forward P/E) ปัจจุบันอยู่ที่ 16.98 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปีที่ 16.38 เท่า (ที่มา : Bloomberg 8 มิ.ย. 2558) นักลงทุนจึงอาจต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มเติม”

ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นจีน ทั้งดัชนี A-Share และ H-Share ต่างปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังทางการจีนได้ประกาศผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านหลักทรัพย์ โดยอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในจีนสามารถเข้าซื้อหุ้น H-Share ผ่านโครงการเชื่อมโยงตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้-ฮ่องกง โดยไม่ต้องขอโควตา ทั้งนี้การที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเยอะจึงมีความเสี่ยงที่อาจจะปรับฐานลงได้ในระยะสั้น ผู้ลงทุนจึงอาจอาศัยจังหวะช่วงที่หุ้นปรับตัวลงเข้าลงทุนเพิ่มเติมได้ โดยมองว่าในระยะยาวหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตที่ดีจากการที่รัฐบาลจีนมีแผนปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยจะเน้นพัฒนาด้านตลาดทุน ประกอบกับการอนุมัติให้ภาคเอกชนและต่างชาติได้เข้ามาลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคได้ รวมถึงแนวทางการบริหารเศรษฐกิจของประเทศให้หันมาพึ่งพาการบริโภคมากขึ้น

ทั้งนี้ กองทุน K-CHINA ของ บลจ.กสิกรไทยจะมีการเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาลจีนที่เน้นการเติบโตจากการบริโภคในประเทศ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ประกัน เป็นต้น ประกอบกับ กองทุนมีการให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น A-share และ B-share (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดเสิ่นเจิ้นและเซี่ยงไฮ้) ในสัดส่วนที่สูงประมาณ 15% จึงทำให้กองทุนมีความน่าสนใจและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในต่างประเทศ

ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน K-GA, กองทุน K-GLOBE กองทุน USXNDQ และกองทุน K-CHINA สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 0-2673-3888

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุน K-GA, กองทุน K-GLOBE กองทุน USXNDQ และกองทุน K-CHINA ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายหน่วยลงทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ กองทุนมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินของหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน โดยกองทุน K-GA, กองทุน USXNDQ และกองทุน K-CHINA มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ และกองทุน K-GLOBE มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจ
กำลังโหลดความคิดเห็น