หลังจากผ่านพ้นวันตรุษจีน ก็นับได้ว่าเข้าสู่ปีนักษัตรมะแมหรือปีแพะอย่างเต็มตัว โดยหลังจากตลาดหุ้นจีนมีความร้อนแรงมากในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2558 ตลาดหุ้นจีนกลับแผ่วแรงลงจนอาจทำให้นักลงทุนสงสัยว่า แล้วในปีแพะนี้ตลาดหุ้นจีนจะยังคงสามารถกระโดดได้อย่างร่าเริง หรือจะเหงาหงอยเป็นแพะรับบาปกันแน่
เมื่อย้อนกลับไปดูผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นจีนในปี 2557 จะพบว่าตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะตลาด A-Share หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนอยู่ในประเทศจีน (ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น) ปรับตัวได้ร้อนแรงกว่า 51% โดยเฉพาะในเดือนธันวาคมเดือนเดียวที่ขึ้นไปถึงกว่า 30% ขณะที่ตลาดหุ้นจีน H-Share หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง แม้จะปรับตัวขึ้นแต่ก็ไม่ร้อนแรงเท่า โดยปรับตัวขึ้นไปเพียงประมาณ 10% เท่านั้น สาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมปรับตัวร้อนแรง มีผลมาจากการเปิดใช้การเชื่อมโยงการซื้อขายหุ้นระหว่างตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้กับฮ่องกง ทำให้ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดและทำให้เกิดการซื้อขายกันมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นบางตัวที่มีการจดทะเบียนทั้ง 2 ตลาด ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาหุ้น A-Share มักจะมีระดับราคาที่ต่ำกว่า H-Share เมื่อมีการเปิดการเชื่อมโยงทั้ง 2 ตลาดเข้าหากัน จึงทำให้ตลาดหุ้น A-Share ซึ่งมีระดับราคาต่ำกว่า ได้รับปัจจัยบวกจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าและดันตลาดให้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในตลาดที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดตลาดหนึ่งในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่เปิดปี 2558 มา ตลาดหุ้นจีนทั้ง A-Share และ H-Share กลับปรับตัวลดลงไปในเดือนมกราคม และแม้จะฟื้นขึ้นมาบ้างในช่วงก่อนตรุษจีน แต่ในภาพรวมก็ยังไม่ได้ไปไหน โดยสาเหตุหลักมาจากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ทยอยประกาศออกมาในช่วงต้นปีนี้ไม่ค่อยจะสวยงามเท่าใดนัก ประกอบกับตลาดหุ้นจีนได้ปรับตัวขึ้นมาแรงในปีที่ผ่านมา ทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาอยู่เป็นระยะๆ
ทั้งนี้ ที่ว่ากันว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง หากจะดูเป็นตัวเลขจริงๆ แล้วก็คงจะต้องยอมรับว่า เมื่อเทียบกับอดีตที่เคยเติบโตได้ในระดับเกิน 10% ขึ้นไป เศรษฐกิจจีนในปีล่าสุดที่สามารถเติบโตได้ 7.40% ก็ดูจะน่าผิดหวัง แต่หากเทียบกับเศรษฐกิจทั่วโลกแล้ว อัตราการเติบโตที่ 7% ขึ้นไปยังถือว่าสูงอยู่มาก เมื่อเทียบว่าเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา IMF คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 3% เท่านั้น ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ขยายตัวได้เพียง 2.40% หรือแม้กระทั่งสหภาพยุโรปที่เติบโตได้ไม่ถึง 1% ดังนั้น อัตราการเติบโตระดับนี้ของจีนจึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก และยิ่งทางการจีนตอกย้ำอีกว่า ต่อไปคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นการเติบโตแบบเลข 2 หลักที่ไม่ยั่งยืนอีกแล้ว แต่จีนจะมุ่งไปสู่การเติบโตแบบ The New Normal หรือการเติบโตแบบที่ช้าลงในระดับ 7-8% แต่เป็นการเติบโตที่มีเสถียรภาพและยั่งยืน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะต้องกังวลจนเกินไป
นอกจากนี้ ใช่ว่าทางการจีนเองจะนั่งอยู่เฉยๆ รอดูให้เศรษฐกิจชะลอตัวไปโดยไม่ทำอะไร แต่ท่าทีของธนาคารกลางของจีน หรือ PBoC เอง ก็ได้มีการดำเนินมาตรการหลายๆ อย่างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจีนอย่างที่ไม่ได้เห็นในรอบหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกในรอบ 3 ปีในช่วงปีที่ผ่านมา หรือการปรับลดอัตราส่วนกันสำรองของธนาคารพาณิชย์จีน (RRR) ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ได้เพิ่มเติมเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ล้วนแล้วแต่เป็นการส่งสัญญาณว่า PBoC พร้อมเสมอที่จะดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หากมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงจนเกินไป
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อของจีนในเดือนมกราคมที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 0.80% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 5 ปี ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้ทางการจีนสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติม โดยเชื่อว่าในปีนี้น่าจะมีการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยและอัตราส่วนกันสำรองเพิ่มเติมเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือไปจากปัจจัยและนโยบายทางด้านการเงินแล้ว ปัจจัยด้านพื้นฐานโดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจีนเองก็น่าจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ เพราะจีนเป็นหนึ่งในผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทผู้ผลิตต่างๆ อยู่ในระดับต่ำ รวมไปถึงอานิสงส์ที่ตลาดหุ้นจีนจะได้รับจากการที่จะมีการเปิดเชื่อมโยงตลาดหุ้นเซินเจิ้นเข้ามาร่วมกับตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และฮ่องกงในปีนี้อีก ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหุ้นจีน และความน่าสนใจมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะเห็นหุ้นจีนในประเทศ หรือ A-Share ได้รับการคัดเลือกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีหุ้นระดับโลก MSCI ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นจีนในสายตาของนักลงทุนต่างชาติและดึงดูดเม็ดเงินให้เข้ามามากขึ้นได้ในอนาคต
หากดูในแง่ของระดับราคาหุ้นจีน แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก แต่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตแล้วก็พบว่ายังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยดัชนีหุ้น A-Share (CSI 300) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 12 เท่า ปรับตัวขึ้นมาจากช่วงปลายปีที่ 10 เท่า แต่ก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ประมาณ 18 เท่า ขณะที่ดัชนี H-Share เอง ปัจจุบันมีอัตราส่วน Forward P/E ที่ประมาณ 8 เท่า ซึ่งก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12 เท่า
แม้ที่กล่าวมาทั้งหมดจะดูเหมือนว่าตลาดหุ้นจีนจะดูมีแต่ทิศทางที่ดี แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ต้องระวังคือความผันผวน เนื่องจากต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจจีนแม้จะเติบโตได้ดี แต่ก็ชะลอตัวลงกว่าปีที่ผ่านๆ มา ดังนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะมีการประกาศออกมาเป็นระยะๆ อาจจะออกมาไม่ดีนักเมื่อเทียบกับอดีต และอาจจะทำให้เกิดแรงขายหุ้นจีนได้เป็นระยะๆ ยิ่งประกอบกับการที่นักลงทุนรายย่อยในประเทศจีนเข้ามามีบทบาทในการซื้อขายหุ้นมากขึ้นโดยเฉพาะจากตลาดหุ้น A-Share ซึ่งตัวเลขจาก UBS ระบุไว้ว่า นักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนในการซื้อขายหุ้นต่อวันมากถึงกว่า 70-80% ต่อวันของมูลค่าทั้งหมด ซึ่งก็น่าจะทำให้ตลาดหุ้นจีนที่แม้จะมีโอกาสเติบโตได้ดี แต่ก็จะมาพร้อมกับความเสี่ยงหรือความผันผวนที่สูงด้วยเช่นเดียวกัน ผู้ลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และเน้นการลงทุนในระยะยาวเพื่อให้สามารถรับประโยชน์จากการเติบโตของหุ้นจีนได้อย่างเต็มที่
คำเตือน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
จัดทำ ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 โดยนายอาทิตย์ ทองเจริญ ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย)