2 บลจ.เห็นพ้องหุ้นจีนปรับฐาน แนะนักลงทุนทยอยลงทุน เชื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนยังมีต่อเนื่อง
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ จำกัด ระบุว่า ตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อหลังปรับตัวลงเล็กน้อยเพื่อปรับฐานในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันตลาดหุ้นจีน (ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้) และตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นกว่า 33% และ 17% ตามลำดับ จากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนทั้งมาตรการการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่อง
“ในช่วงสัปดาห์ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงได้ปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ 3.2% และ 1.7% ตามลำดับ เนื่องจากแรงกดดันจากทั้งในและต่างประเทศของจีนเอง โดยทางการจีนได้ออกมาระบุถึงความร้อนแรงของตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมาหลังดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ทำให้นักลงทุนกังวลว่าทางการจีนอาจมีมาตรการบางอย่างเพื่อยับยั้งความร้อนแรงของตลาดหุ้นดังกล่าว รวมทั้งมีนักวิเคราะห์บางแห่งออกมาระบุถึงราคาหุ้นจีนที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา ประกอบกับความกังวลจากปัจจัยภายนอกจากความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะของกรีซที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับ ECB ได้ ซึ่งจะถึงกำหนดเส้นตายในการชำระจำนวน 75 ล้านยูโรในวันที่ 12 พ.ค. 58 ทำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเพื่อรอดูเหตุการณ์ จึงทำให้หุ้นจีนมีการปรับตัวลดลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา”
นายวินกล่าวต่อว่า ในระยะถัดไปตลาดหุ้นจีนก็ยังมีโอกาสปรับตัวผันผวนในช่วงระยะสั้นจากความกังวลของปัจจัยภายในและภายนอกประเทศดังกล่าว ก่อนที่จะปรับตัวไปต่อในระยะถัดไปจากปัจจัยสนับสนุนหลักๆ ได้แก่ การผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา โดยธนาคารกลางจีนมีโอกาสผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมโดยการปรับลดอัตราส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแม้ว่าจะดำเนินการปรับลดไป 3 ครั้งแล้วก็ตาม และแต่ละครั้งที่ปรับลด RRR ก็มักส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนทุกครั้ง รวมทั้งแรงซื้อจากนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นระหว่างนักลงทุนจีนกับฮ่องกง หลังทางการมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์เพื่อสนับสนุนการลงทุนของนักลงทุนจีนที่จะไปลงทุนในฮ่องกงได้มากขึ้นที่เรียกว่า QDII ซึ่งล่าสุดทางการจีนก็ได้อนุญาตให้นักลงทุนสถาบันจีน อย่างกองทุนรวมจีนสามารถนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง (H-Share) ได้ และมีการเชื่อมตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้-ฮ่องกงเข้าด้วยกัน ซึ่งล่าสุดได้รับความนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนจากจำนวนโควตาการขอเข้าลงทุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หากทางการจีนเชื่อมตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นเข้าด้วยกันในช่วงถัดไปได้สำเร็จแล้วนั้นก็จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้แก่นักลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นจีนประเภท H-Share (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง) จากมูลค่าหุ้นที่ยังต่ำกว่าหุ้นจีนประเภท A-Share (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในจีน) ประกอบกับสภาพคล่องที่ยังคงล้นระบบอยู่ในปัจจุบันจากการใช้ QE ต่อเนื่องของธนาคารกลางในหลายแห่ง ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างเช่นหุ้นยังคงเป็นที่น่าสนใจอยู่ในช่วงถัดไป
ทั้งนี้ หากนักลงทุนท่านใดสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและมีเวลาติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิดและจับจังหวะการลงทุนได้ด้วยตนเอง รวมทั้งสามารถลงทุนได้ในระยะกลางถึงยาวอาจพิจารณากองทุนเปิด วรรณ ไชน่า ออโต้ รีเด็มชั่น ฟันด์ (ONE-CHINA) ซึ่งเป็นกองทุนเปิดประเภท Feeder Fund ที่เน้นลงทุนในกองทุน ETF 2828HK เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับตลาดหุ้น Hang Seng China Enterprises Index ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในช่วงเวลานี้
ทางด้านนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า แม้ในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวลงแรงจากข่าวการเพิ่มกฎเกณฑ์การปล่อยมาร์จิ้นเพิ่มเติมเพื่อลดการเก็งกำไรในตลาดหุ้นโดยใช้เงินกู้มาร์จิ้นทำให้นักลงทุนมีความกังวล โดย ณ วันที่ 6 พ.ค. ดัชนี HSCEI หรือ H-Shares ปรับลดลงถึง -4.5% ในรอบ 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ทิสโก้มองว่าเป็นเพียงการปรับฐานในระยะสั้นเท่านั้น และเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน โดยมองว่าโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในปีนี้จะยังไปได้ดี หลังจากธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้ปรับลดอัตราสำรองตามกฎหมายของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 1% สู่ระดับ 18.5% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และคาดว่ารัฐบาลจีนจะยังดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกสำคัญ จากการที่รัฐบาลจีนผลักดันให้มีการควบรวมกิจการ (M&A) รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เข้าด้วยกันเพื่อให้ลดจำนวนลง เช่น ธุรกิจรถไฟ (บริษัท CSR และบริษัท CNR) ธุรกิจพลังงาน (บริษัท PetroChina และ Sinopec) รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างโทรคมนาคม สายการบิน และขนส่ง เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจีน ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้นจีนยังถูกที่สุดในเอเชีย โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมิน Upside ของตลาดหุ้นจีนไว้ที่ 17% จากเป้าหมายดัชนีในปี 2558 ที่ระดับ 16,500 จุด ทำให้การลงทุนในหุ้นจีนตอนนี้ถือว่าน่าสนใจอย่างมาก
ล่าสุด บลจ.ทิสโก้จึงเปิดเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 8% #20” ซึ่งเป็นกองทริกเกอร์ฟันด์ในซีรีส์หุ้นจีนที่ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนผ่านกองทุน Hang Seng H-Share Index ETF เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี HSCEI หรือ H-Shares โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 8% ภายใน 8 เดือน หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ซื้อขายสับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการ โดยจะเสนอขายครั้งแรก 8-19 พ.ค. 58 นี้
“เรามองว่าตลาดหุ้นจีนเป็นหนึ่งใน Top Pick ที่แนะนำให้ลงทุน ทิสโก้เป็นรายแรกๆ ที่เล็งเห็นว่าตลาดหุ้นจีนน่าสนใจ และแนะนำนักลงทุนให้เพิ่มสัดส่วนพอร์ตลงทุนหุ้นจีนมาโดยตลอด และเป็นหนึ่งในไม่กี่รายที่ยืนยันในคำแนะนำนี้ ขณะที่ในตลาดอาจจะยังมีความกังวลว่าตลาดหุ้นจีนจะฟื้นจริงหรือไม่ ซึ่งในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (31 ต.ค. 57-30 เม.ย. 58) ดัชนี HSCEI มีผลตอบแทนสูงถึง 34.20% ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ามุมมองของเราถูกต้อง ตลาดหุ้นจีนสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างน่าพอใจ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนปรับตัวดีขึ้นอย่างโดดเด่นจากผลการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ด้วยมุมมองที่แม่นยำ เราจึงมั่นใจว่ากองทริกเกอร์หุ้นจีนกองล่าสุดจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเช่นเคย” นายสาห์รัชกล่าว