xs
xsm
sm
md
lg

แรงส่งหุ้นไทยครึ่งหลังปี 58

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


โดย ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com

สวัสดีครับ ในช่วงต้นเดือนถึงปัจจุบันดัชนี SET Index บ้านเรายังคงปรับตัวอย่างผันผวนต่อเนื่อง เนื่องจากตลาดยังคงขาดปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนตลาดและยังเผชิญกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีดีพีไทยไตรมาสที่ 1/2558 ยังคงออกมาขยายตัวต่ำกว่าคาด และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนประกาศออกมาใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อลดพอร์ตการลงทุน

ผมมองว่าในช่วงระยะสั้น ดัชนี SET ยังมีโอกาสปรับตัวผันผวนต่อเนื่องและเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนยังคงรอดูเหตุการณ์ใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนตลาดเพิ่มเติม และมีโอกาสปรับตัวย่อต่ำกว่าระดับ 1,500 จุดได้เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากแนวโน้มการปรับลดการคาดการณ์รายได้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2558 ในบางกลุ่มอุตสาหกรรม และแนวโน้มการปรับลดจีดีพีไทยปี 2558 ของทางการหลังตัวเลขไตรมาสที่ 1/2558 ออกมาต่ำกว่าคาด

รวมทั้งแรงขายของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่องหลังค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และการย้ายเงินลงทุนจากภูมิภาคเอเชียใต้ไปยังเอเชียเหนือ โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น ซึ่งมีมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนและเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมกว่าโดยเปรียบเทียบ แต่อย่างไรก็ดี คาดว่าดัชนีฯ ไม่น่าจะปรับตัวลดลงมากนัก เนื่องจากยังมีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันจากการเสนอขายกองทุนรวมประเภท Trigger Fund ของ บลจ.ต่างๆ เข้ามาสนับสนุนตลาด ขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติปรับลดลงมาก จนอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้โอกาสที่จะขายต่อเนื่องมีค่อนข้างจำกัด

ครึ่งหลังของปี 2558 ผมมองว่าดัชนี SET ยังคงมีแนวโน้มดีกว่าครึ่งปีแรก จากปัจจัยสนับสนุนจากในประเทศจากความคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเข้าสู่การฟื้นตัวและผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้วจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการส่งออกที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากอานิสงส์ของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ความคืบหน้าเพิ่มเติมของภาครัฐทั้งในส่วนของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อลงทุนและการดำเนินนโยบายการเงินผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและระบบเศรษฐกิจ

แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ จะมีแนวโน้มปรับตัวได้ดีขึ้นมากน้อยเพียงไรคงต้องขึ้นอยู่กับความรวดเร็วของการผลักดันโครงการต่างๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นเพื่อดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนภายในประเทศและต่างชาติ โดยเฉพาะการเร่งผลักดันในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการเร่งประมูล 4G ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งความคืบหน้าของการเลือกตั้งหลังเริ่มส่งสัญญาณการทำประชามติในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากเป็นไปตามช่วงจังหวะเวลาที่กำหนดไว้แล้วนั้นคาดว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งน่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้เพิ่มเติม

ขณะที่แรงสนับสนุนของปัจจัยต่างประเทศจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางหลักบางประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและยูโรโซน รวมทั้งการชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ยังผลักดันให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างเช่นหุ้นมีความน่าสนใจอยู่ในช่วงนี้ ขณะที่มองว่าความกังวลเรื่องความสามารถในการชำระหนี้สาธารณะของกรีซน่าจะเป็นเพียงแรงกดดันต่อ Sentiment ในบางจังหวะเท่านั้น แต่ก็คาดว่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีในท้ายที่สุด

สำหรับในด้านมูลค่าหุ้นไทยปัจจุบันนับว่ายังอยู่ในระดับที่ไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคหลังจากที่ดัชนีฯ ได้มีการปรับตัวย่อฐานลงมาอยู่ที่ระดับ 1,510-1,520 จุด โดยปัจจุบันราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไร (PE) อยู่ที่ระดับ 15.07 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 15.22 เท่า และระดับอัตราการเติบโตของกำไร (EPS Growth) ที่ระดับ 32.57% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 13.76% ทำให้มองว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าทยอยลงทุนในช่วงเวลานี้ ซึ่งคาดว่า SET Index มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 1,450-1,650 จุด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ 1,700 จุดได้ภายในปีนี้

ในแง่ของการลงทุนในหุ้นระดับราคาปัจจุบันจึงแนะนำให้ทยอยสะสมลงทุนได้ในช่วงนี้ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่ใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี อย่างเช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) โดยเฉพาะช่วงที่ดัชนี SET ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,500 จุด ซึ่งหากนักลงทุนท่านใดสนใจ ทาง บลจ.วรรณมีผลิตภัณฑ์กองทุนดังกล่าวนำเสนอ ซึ่งนักลงทุนสามารถสอบถามเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ฝ่ายบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจที่หมายเลข 0-2659-8888 ต่อ 1

•ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน


กำลังโหลดความคิดเห็น