ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนชี้ แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นแตะ 102.72% จากรัฐบาลที่เริ่มมีการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในโครงการพื้นฐานต่างๆ กอรปกับได้ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก (Martial Law) ทำให้ลดความกังวลของต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น แนะนักลงทุนจับตาหุ้นกลุ่มพลังงาน-และสาธารณูปโภค คาดจะได้รับอานิสงส์เต็มๆ
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนพฤษภาคม 2558 หากพิจารณาทิศทางการลงทุนในอนาคตอีก 3 เดือนข้างหน้า คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนจับปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 102.72% หรือเพิ่มขึ้นจากเดิม 30.19% เทียบกับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเห็นว่าแนวโน้มตลาดทุนเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นในทิศทางที่ดี แต่การปรับเพิ่มขึ้นยังอยู่ในระดับทรงตัว (Neutral ) อีกทั้งนโยบายที่รัฐบาลได้พยายามผลักดันด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จากนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากที่รัฐบาลจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการต่างๆ เช่นรถไฟฟ้าสายต่างๆ และโครงการรถไฟทางคู่ ตลอดจนถึงโครงการที่เกี่ยวเนื่องด้านระบบสวัสดิการด้านสาธารณะสุขของประชาชนในประเทศ ซึ่งในช่วงเวลา 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 58 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557-เมษายน 2558) รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณไปแล้วกว่า 58.4% โดยแบ่งเป็นงบประมาณที่ใช้เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศจำนวน 36.2% จากมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้นกว่า 4.49 แสนล้านบาท
“กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มในการเติบโตและให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนมากที่สุดได้ แก่ กลุ่มพลังงานและ กลุ่มสาธารณูปโภค ขณะที่ในส่วนของอุตสาหกรรมที่ไม่น่าลงทุนมากสุด คือ หมวดธุรกิจการเกษตร เนื่องจากราคาความต้องการของสินค้าเกษตรในตลาดโลก ยังคงมีความผันผวนด้านราคาที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังกระทบต่อ อุปสงค์ และอุปทาน เนื่องจากสภาพอากาศและฤดูกาลทำให้ผลผลิตไม่สามารถเก็บเกี่ยวตามเป้าหมายได้”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 3.4% ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะโต 4% เนื่องจากรัฐบาลเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงต้นปีที่ผ่านมาน้อยกว่าเป้าที่ได้ตั้งไว้ อีกทั้งโครงการที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดที่แล้วยังมีความล่าช้ากว่ากำหนด แต่ทั้งนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังรัฐบาลจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณและเวลาจำนวนมาก ซึ่งหากลงทุนของภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้นจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคเอกชน (ปลายน้ำ) ให้มีโอกาสที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นขนานกันไปกับโครงการรัฐในส่วนต่างๆ ได้
ทั้งนี้ แนวโน้มทิศทางดัชนี SET INDEX ในปีนี้ คาดว่าดัชนีจะปรับตัวสูงสุดจะอยู่ที่ระดับ 1,653 จุด ดัชนีตลาดหุ้นไทยต่ำสุดจะอยู่ที่ระดับ 1,357 จุดเทียบเคียงจากประมาณการกำไรปีนี้ที่มีการเติบโตถึงกว่า 23.7% ส่วนปัจจัยต่างประเทศคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากหากธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปจะทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา ส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นปรับตัวลดลงและเม็ดเงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้เชื่อว่าหากเกิดการไหลออกของเงิน ในระยะสั้นคาดว่าจะไม่กระทบมากนักเพราะนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไทยอยู่ไม่มาก
“ขณะเดียวกัน แนวโน้มการลงทุนในตลาดทุนไทยในไตรมาส 2 คาดว่า SET INDEX จะแกว่งตัวลดลง โดยนักลงทุนควรมองว่าเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หรือปันผลดี เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3 หากนายกมีการประกาศในการแก้ปัญหาที่เป็นภาระค้างคาอยู่อย่างชัดเจนโดยเฉพาะการกำหนดเวลาเลือกตั้ง อีกทั้งทิศทางราคาน้ำมันจะเริ่มทยอยปรับตัวขึ้นในไตรมาสที่ 3 ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 4 ปีนี้”