xs
xsm
sm
md
lg

การจัดพอร์ตในยุคดิจิตอล (ตอนที่ 1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดยกิติชาญ ศิริสุขอาชา CFP®

ในยุคดิจิตอลที่ข้อมูลข่าวสารสามารถไปถึงทั่วโลกได้ในเสี้ยววินาที ทำให้ข้อจำกัดด้านข่าวสารการลงทุนมีน้อยลงกว่าในอดีต แต่การวิเคราะห์ข่าวสารเพื่อเลือกสินทรัพย์ลงทุนให้ถูกต้อง, การเลือกการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation), การเลือกหลักทรัพย์ลงทุน (Stock selection) และจังหวะการเข้าลงทุน (Market Timing) ยังคงมีความสำคัญอย่างมากในการที่จะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสามารถบรรลุเป้าหมายในการวางแผนการเงินได้ ดังนั้น การจัดพอร์ตการลงทุนจึงต้องมีการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน

นอกจากที่จะพิจารณาในเรื่องของผลตอบแทนแล้ว เรายังต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงของแต่ละสินทรัพย์ลงทุน รวมไปถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุนเพื่อที่จะสามารถจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนที่จะสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการบรรลุเป้าหมายผลตอบแทนในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุนด้วย

การเปลี่ยนแปลงด้านการลงทุนในยุคดิจิตอล

สำหรับแนวโน้มการลงทุนของแต่ละสินทรัพย์ปี 2015 เราประเมินว่าตลาดหุ้น (Equity market) จะยังคงให้ผลตอบแทนเทียบต่อ 1 หน่วยความเสี่ยงดีที่สุด แม้ว่าจะมีความผันผวนค่อนข้างมากก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกจะมีการปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง (แต่ปกติการปรับขึ้นจะค่อยเป็นค่อยไปและมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไม่มากนักหากเทียบกับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในช่วงปี 2004-2006 ที่เฟดปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปจากระดับ 1.00% เป็น 5.25% แต่ดัชนี Dow Jones ยังปรับขึ้นจากระดับ 10,188 จุด ไป 13,357 จุด หรือ +31% ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน +6.7%), การไหลกลับของเงินลงทุน (fund flow) ไปยังสหรัฐฯ หลังยุติ QE ลง และความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจสำคัญของโลกอย่างยุโรป จีน และญี่ปุ่น

ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้คาดว่าจะยังให้ผลตอบแทนระดับต่ำจากการที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นในครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ Bond Yield มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น (ราคาพันธบัตรปรับตัวลดลง)

ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันและทองคำนั้นคาดว่าในปีนี้จะยังให้ผลตอบแทนในระดับต่ำ แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลงมาเกือบ 50% ในปีที่ผ่านมาก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากเราประเมินว่าโอเปกจะยังคงพยายามคุมราคาน้ำมันดิบให้อยู่ในระดับต่ำกว่าเชื้อเพลิงทดแทนชนิดอื่นที่กำลังพัฒนาขึ้นมาแทนน้ำมันดิบอย่าง Shale Oil (ประเมินว่ามีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 65 เหรียญ/บาร์เรล) เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดในตลาดโลกไว้ อีกทั้งภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบางก็ไม่อาจแบกรับกับราคาน้ำมันในระดับสูงได้

เราประเมินราคาน้ำมันดิบ WTI ในปีนี้ไว้ที่กรอบ 40-60 เหรียญ/บาร์เรล ส่วนทองคำแม้ว่าจะปรับลดลงมามากกว่า 34% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2014 ราคาทองคำถือว่าทรงๆ ตัวใกล้ 1,200 เหรียญ/ออนซ์และให้อัตราผลตอบแทนลบเล็กน้อย) แต่ราคาทองคำยังคงไม่มีปัจจัยบวกมากระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่ยังอยู่ในระดับต่ำจากทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวลดลงมากตามราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงไป

ดังนั้น เรามองราคาทองคำปีนี้ก็ยังคงซื้อขายในกรอบแคบ 1,100-1,300 เหรียญ/ออนซ์ ในขณะที่กองทุนอสังหาฯ และ REIT คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทน (เทียบจากราคาหน่วยลงทุนแต่ไม่รวมอัตราเงินปันผลตอบแทน) ติดลบ เนื่องจากโดยปกติที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นกองทุนอสังหาฯ และ REIT จะมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนในเชิงเปรียบเทียบลดลง และอัตราส่วนคิดลดที่ใช้ประเมินมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ก็จะปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าตามเวลา (Time value of money) ปรับตัวลดลงอีกด้วย และครั้งต่อไปมาติดตามการจัดพอร์ตและความเสี่ยงในยุคดิจิตอลกันต่อครับ

สามารถศึกษาข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/yourfirststock


กำลังโหลดความคิดเห็น