สศค. มองแนวโน้ม ศก.โลก ยังเสี่ยงผันผวน แม้ทางฝั่งสหรัฐฯ จะมีสัญญาณฟื้นตัว ชี้ การชะลอตัวทาง ศก.ทั้งยุโรป จีน และญี่ปุ่น ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อการผันผวนของภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลก ทั้งในตลาดทุนและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ KTAM มองประเด็นสำคัญที่สุด คือ นักลงทุนควรมีการกระจายการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ควรคำนึกถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานสัมมนา “จัดทรัพย์ รับปีแพะ เจาะกระแสภาษีมรดก” โดยระบุว่า ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มการฟื้นตัวชัดเจนส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ที่ 0-0.25% ต่อปีในการประชุมครั้งล่าสุด รวมถึงการทยอยลดใช้มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน (Quantitative Easing: QE) ในช่วงก่อนหน้านี้
โดย 2 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศไปยังสหรัฐฯ ทำให้ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินทางการเงินสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยับตัวดีขึ้นจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะต่อไป
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับที่ 5 ของโลก โดยในปี 58 จะเป็นปีแรกที่เศรษฐกิจอินเดียจะพลิกกลับมาเป็นบวก ประกอบกับการขาดดุลทางการคลังลดลงทำให้สามารถกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจได้สูงขึ้น
แต่ปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงเป็นประเด็นของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจยุโรป จีน และญี่ปุ่น ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อการผันผวนของภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลกทั้งในตลาดทุนและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น นักลงทุนต้องติดภาวะการลงทุนอย่างใกล้ชิด พร้อมกับมีการกระจายความเสี่ยงการลงทุน
นายเอกนิติ กล่าวว่า ทิศทางการขยายตัวของเศษฐกิจไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก จากการหดตัวของการส่งออก เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงพึ่งพารายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการในสัดส่วนที่สูงถึง 60% ต่อจีดีพี
ขณะที่การบริโภคภายในประเทศหดตัว และความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ แม้ว่าจะได้รับการชดเชยจากรายได้การส่งออกในประเทศ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม (CLMV) ซึ่งขยายตัวดีขึ้น ที่ล่าสุดปี 57 การส่งออกไทยไปลาวและพม่าเติบโตที่ระดับ 15% และ 10% ตามลำดับ ประกอบกับมีรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่ง ณ เดือน ม.ค.58 เติบโตสูงขึ้น 15% จากระยะเดียวกันปีก่อนก็ตาม
ด้านนายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นยังคงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดที่ 12.8% ของการลงทุนทั้งหมดในไทย ขณะที่การลงทุนในตลาดเงิน (Money Market Fund) และตลาดตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 4-5% และ 3.7% ตามลำดับ
แต่ในปี 58 ประเมินว่า ตลาดตราสารหนี้ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงถึงคือการเข้าใจวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ตลอดจนความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นก่อนตัดสินใจในการลงทุน
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศมีความผันผวนสูง ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่สุดคือนักลงทุนควรมีการกระจายการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ควรคำนึกถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย