บลจ.กรุงไทยแนะนักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดรับกับเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน พร้อมเน้นย้ำให้รู้จักจุดประสงค์การลงทุนและความเสี่ยงของตัวเองอีกด้วย
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มการฟื้นตัวชัดเจนส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ที่ 0-0.25% ต่อปีในการประชุมครั้งล่าสุด
รวมถึงการทยอยลดใช้มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน (Quantitative Easing : QE) ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่ง 2 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศไปยังสหรัฐฯ ทำให้ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินทางการเงินสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยับตัวดีขึ้นจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะต่อไป
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับที่ 5 ของโลก โดยในปี 2558 จะเป็นปีแรกที่เศรษฐกิจอินเดียจะพลิกกลับมาเป็นบวก ประกอบกับการขาดดุลทางการคลังลดลงทำให้สามารถกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจได้สูงขึ้น
ทางด้านปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวเศรษฐกิจโลกในปี 2558 ยังคงเป็นประเด็นของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโร จีน และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างแรงกดดันต่อการผันผวนของภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลกทั้งในตลาดทุนและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น นักลงทุนต้องติดตามภาวะการลงทุนอย่างใกล้ชิด พร้อมกับมีการกระจายความเสี่ยงการลงทุน
สำหรับทิศทางการขยายตัวของเศษฐกิจไทย ยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวเศรษฐกิจโลกจากการหดตัวของการส่งออก เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงพึ่งพารายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการในสัดส่วนที่สูงถึง 60% ต่อจีดีพี ขณะที่การบริโภคภายในประเทศหดตัว และความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ แม้ว่าจะได้รับการชดเชยจากรายได้การส่งออกในประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม (CLMV) ซึ่งขยายตัวดีขึ้น โดยล่าสุดปี 2557 การส่งออกไทยไปลาวและพม่าเติบโตที่ระดับ 15% และ 10% ตามลำดับ ประกอบกับมีรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งล่าสุด ณ เดือนมกราคม 2558 เติบโตสูงขึ้น 15% จากระยะเดียวกันปีก่อนก็ตาม
ด้านนายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย กล่าวว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาการลงทุนในตลาดหุ้นยังคงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดที่ 12.8% ของการลงทุนทั้งหมดในไทย ขณะที่การลงทุนในตลาดเงิน (Money Market Fund) และตลาดตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 4-5% และ 3.7% ตามลำดับ แต่ทั้งนี้ ในปี 2558 ประเมินว่าตลาดตราสารหนี้ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงถึงคือการเข้าใจวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ตลอดจนความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นก่อนตัดสินใจในการลงทุน
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศมีความผันผวนสูง ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่สุดคือนักลงทุนควรมีการกระจายการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ควรคำนึงถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
ทั้งนี้ บลจ.กรุงไทยประเมินอัตราผลตอบแทนการลงทุนของการลงทุนในปี 2558 ว่า การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในช่วงขาลง
ขณะที่ประเมินว่าอัตราผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนที่มีการลงทุนในหุ้นสัดส่วน 10% ของเงินลงทุนทั้งหมด ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.5% โดยมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนที่ 0.6% ส่วนพอร์ตการลงทุนในหุ้น 30% ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ -5% ถึง +30% โดยมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนประมาณ 5%
สำหรับนักลงทุนที่มีความสามารถรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น หากจัดสรรเงินลงทุนในหุ้น 70% ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -15% ถึง +27% โดยมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนประมาณ 15%