บลจ.กสิกรไทยแนะจังหวะเก็บกองทุนหุ้นมาแล้ว โดยเฉพาะกองทุนประหยัดภาษีเช่น LTF-RMF เล็งเห็นโอกาสทำกำไร แนะทยอยลงทุนรับดัชนีหุ้นปลายปีที่ 1,700 จุด
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อการเติบโตของตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน โดยเฉพาะยังมีความเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐ และแผนการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ ที่จะช่วยผลักดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงการฟื้นตัว และระดับราคาหุ้นไทยปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตของผลกำไรได้ในอนาคต
ทั้งนี้ แม้ในช่วงตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากเหนือระดับ 1,600 จุด ลงมาถึงใกล้ระดับ 1,500 จุดจนทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลนั้น เชื่อว่าสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า โดยตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกออกมาค่อนข้างชะลอตัว เช่น ตัวเลขการส่งออก การใช้จ่าย และการลงทุนภาคเอกชน
ขณะที่แผนการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและงบประมาณภาครัฐยังต่ำกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ รวมถึงความไม่แน่นอนของการประมูล 4G ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจไทยจึงยังขาดแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจน และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทำให้นับตั้งแต่ต้นปีมีเม็ดเงินจากต่างชาติไหลออกไปจากตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 9 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้บรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้จะเป็นไปในเชิงลบ แต่ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในภาพรวมที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับปัจจัยบวกด้านราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยในแง่เศรษฐกิจมหภาคจะส่งผลต่อดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะปรับตัวดีขึ้นจากการนำเข้าที่ลดลง
ส่วนในแง่จุลภาคจะทำให้ภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์ในแง่ต้นทุนที่ลดลง และส่งผลต่อเนื่องไปยังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในภาพรวมที่จะปรับตัวดีขึ้น ยกเว้นในกลุ่มพลังงานที่น่าจะยังคงได้รับปัจจัยลบอยู่ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าหากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐสามารถทำได้ตามเป้าหมายก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินการเติบโตของจีดีพีปีนี้ที่ระดับ 4.00%
นอกจากนี้ ด้านปัจจัยภายนอกประเทศที่จะต้องจับตามอง คือเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ยังคงมีความไม่ชัดเจนและได้กดดันสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทย แม้ว่าผลการประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา FED ได้ตัดคำว่า “อดทนรอ” ต่อการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ซึ่งเปิดทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ให้มีความเป็นไปได้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ถ้อยแถลงดังกล่าวของ FED ก็ได้ระบุว่ายังมีความกังวลต่อภาวะอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวที่ 2% ดังนั้นในอีกแง่หนึ่งอาจทำให้มีโอกาสที่ FED จะยังไม่รีบร้อนปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ การส่งสัญญาณที่ไม่แน่ชัดของ FED นี้เองอาจส่งผลให้ตลาดเกิดความผันผวนในระยะสั้นและกดดันบรรยากาศการลงทุนต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก เช่น ธนาคารกลางยุโรป และญี่ปุ่น จะยังช่วยสนันสนุนให้สภาพคล่องในตลาดการเงินมีอยู่ในระดับที่เพียงพอ และทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าในตลาดหุ้นเพิ่มเติมได้
นางสาวธิดาศิริ กล่าวต่อว่า จากปัจจัยที่กล่าวมา บลจ.กสิกรไทยจึงยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย โดยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ที่ระดับ 1,700 จุด และบริษัทมีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไทยปีนี้ โดยจะเน้นการลงทุนในกลุ่มที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคง และในกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐบาลโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วัสดุและรับเหมาก่อสร้าง และขนส่ง โดยจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวังตามสภาวะตลาดที่อาจมีความผันผวนเพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสามารถใช้โอกาสในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยมีราคาที่อ่อนตัวลงนี้เป็นจังหวะที่เข้าทยอยสะสมการลงทุนในหุ้นไทยได้ หรือสามารถลงทุนกับกองทุน LTF/RMF ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้น รวมถึงกองทุนหุ้นของ บลจ.กสิกรไทยที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นทุน (K-EQUITY) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยกระจายการลงทุนในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
กองทุนเปิดเค สตาร์หุ้นทุนคืนกำไร (K-STAR) ซึ่งมีนโยบายลงทุนระยะสั้นถึงปานกลางในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีจุดเด่นโดยจะทำการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อมีกำไรถึงจุดที่กำหนด
และกองทุนเปิดเค สตราทีจิค เทรดดิ้ง หุ้นทุน (K-STEQ) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีจุดเด่น โดยจะมีการซื้อขายทำกำไรตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม และสามารถลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กบางส่วนเพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม