คปภ.ไฟเขียวขยายการลงทุนธุรกิจประกัน เช่น ลงทุนในกองรีต และโครงสร้างพื้นฐาน รอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง เผยธุรกิจประกันในปีนี้ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมทั้งประกันสุขภาพที่มีแนวโน้มโตต่อเนื่อง
นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ล่าสุดคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ได้พิจารณาเห็นชอบให้ขยายการลงทุนของธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัยให้กว้างมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ เช่น เพิ่มการลงทุนในกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีต) กองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ (อินฟราฟันด์)
โดยกองทุนดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง หากทางกระทรวงการคลังเห็นชอบแผนการขยายการลงทุนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตที่มีความพร้อมก็สามารถเข้าลงทุนได้ตามเกณฑ์ที่ทาง คปภ.กำหนดได้เลย เชื่อว่าความเห็นชอบดังกล่าวน่าจะใช้ได้ทันภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนแผนการทบทวนสูตรการคำนวณการตั้งสำรองเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (RBC) ในส่วนของการลงทุนในตราสารทุนนั้น จากเกณฑ์ปัจจุบันคือ ถ้าราคาหุ้นที่ถือลงทุนมีการปรับตัวสูงขึ้น เงินที่ตั้งสำรองจะต้องเพิ่มขึ้นตามเพราะถือว่าความเสี่ยงมีสูงขึ้น
ล่าสุด ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตได้เสนอเรื่องการพิจารณาสูตรดังกล่าวในการเก็บค่าริชาร์ดจากการลงทุนในหุ้นกับทาง คปภ.ใหม่ เพื่อให้ คปภ.พิจารณาให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าหากดูรายละเอียดต่างๆ อย่างรอบคอบแล้วการเก็บค่าริชาร์ดจากการลงทุนในหุ้นอาจมีการปรับเปลี่ยนใหม่ให้มีความเป็นจริงมากขึ้น โดยการเก็บค่าริชาร์ดที่เหมาะสมนั้นคือ การคิดค่าริชาร์ดตามมูลค่าการลงทุนที่แท้จริงในส่วนของมูลค่าลงทุนเดิม และจะยกเว้นค่าริชาร์ดในส่วนของมูลค่าใหม่ที่มาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้นที่ลงทุน อย่างไรก็ตาม หลักการดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาพอสมควร คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปและใช้หลักการใหม่ได้ภายในไตรมาส 2/58
นายประเวช กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้คาดว่าจะยังรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างเนื่อง เมื่อดูจากสถิติในช่วงเวลาในหลายปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตในแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 13% เปรียบเทียบกับจีดีพีของประเทศอยู่ที่ประมาณ 3.8-3.9% คาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%
“ธุรกิจประกันในปีนี้ยังเติบโตต่อเนื่องไปได้ ซึ่งจะเห็นได้จากเบี้ยประกันมีการเติบโตปีละ 7 แสนล้านบาท เฉลี่ยแล้วเติบโตปีละ 13% และคาดว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้าเบี้ยประกันจะมีแนวโน้มสูงถึง 1 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยจากผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญต่อการทำประกันมากยิ่งขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองของกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี”นายประเวชกล่าว
สำหรับภาพรวมประกันสุขภาพ คปภ.มองว่ากำลังเติบโตได้ดี เนื่องจากในปัจจุบันมีผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตกว่า 20 ล้านกรมธรรม์ ซึ่งจะมีประกันสุขภาพแนบท้ายตามด้วย ในขณะที่ประกันภัยสองร้อยก็มีแนบในส่วนเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ให้ตอบสนองในกลุ่มคนในระดับรากหญ้าให้มีคุณภาพชีวิตดียิ่งขึ้น
สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการเอกชนได้มีการยื่นเสนอต่อ คปภ.ในเรื่องของการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อแบบประกันสุขภาพ ซึ่งในตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและทำการศึกษาในที่ประชุม อย่างไรก็ดี คปภ.ได้ให้การสนับสนุนในส่วนของการลดหย่อนภาษี หรือลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคมาโดยตลอด จึงมีแนวคิดที่จะนำประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในส่วนของธุรกิจประกันจะเติบโตได้ดี แต่ในด้านของสินทรัพย์ที่ลงทุนนั้นถือว่ามีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ประกันจึงมีเกณฑ์การลงทุนกำกับไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ คปภ.ได้มีมติเห็นชอบให้ผู้ประกอบการธุรกิจประกันลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมได้ ขณะนี้เรื่องได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังต่อไป
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พอร์ตการลงทุนของธุรกิจประกันชีวิตปัจจุบันอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 58 เม็ดเงินดังกล่าวแตะใกล้ระดับ 2 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การที่ คปภ.พิจารณาเรื่องการเก็บริชาร์ดใหม่สำหรับเงินลงทุนในตราสารทุน หากเก็บเฉพาะมูลเดิมในการลงทุนถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนธุรกิจประกันชีวิตปีนี้มองว่าจะเติบโตต่อเนื่องที่ 13% ซึ่งจะเห็นได้จากในปีที่ผ่านมาผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญต่อการทำประกันมากขึ้น ซึ่งมีมากถึง 30% ของประชากรทั้งประเทศ
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการ Muang Thai Life Assurance MODERN Hospital Award 2015 เพื่อคัดเลือกและมอบรางวัลแก่โรงพยาบาลคู่สัญญาที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ให้บริการด้านการประกันสุขภาพร่วมกับบริษัทได้อย่างดีเยี่ยม โดยมุ่งหวังให้โครงการนี้ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านประกันสุขภาพและสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้เอาประกัน เพิ่มความสะดวกด้านบริการให้แก่ลูกค้าเป็นหลัก
