บลจ.กสิกรไทยคาดปีหน้ากองทุนรวมยังโต ตั้งเป้า AUM เพิ่มแสนล้านแตะ 1.2 ล้านล้านบาท ระบุหุ้นไทย-เทศยังน่าลงทุน แต่ต้องจับตาราคาน้ำมันและการลงทุนของภาครัฐ ตั้งเป้าปีหน้าดัชนีหุ้นไทยแตะ 1,750 จุด
นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร หรือ AUM ปี 2558 แตะ 1.2 ล้านล้านบาท รับยอดเงินลงทุนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 100,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 10% ขณะที่ AUM ปีนี้จะอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท โดยในปีหน้าบริษัทยังเชื่อว่าสินทรัพย์ที่น่าลงทุนยังคงเป็นหุ้น ซึ่งจะให้ผลตอบแทนสูงแต่ยังต้องเผชิญกับความผันผวนต่อไป
ส่วนแผนงานบริษัทช่วงปีหน้า เชื่อว่าธุรกิจกองทุนยังคงเติบโตดี โดยเฉพาะกองทุนหุ้นไทยและกองทุนหุ้นต่างประเทศมีอัตราการเติบโตดีมาก แม้ว่าสัดส่วนการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าก็ตาม แต่ด้วยช่วงปีที่ผ่านมาการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นไทยมีอัตราการเติบโตสูงชนะตลาดอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ ในปีหน้าแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยช่วงปีหน้าคาดว่าอยู่ที่ระดับ 4% และหากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นเชื่อว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นผลดีต่อการดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยและกองทุนหุ้นด้วย
“หุ้นไทยช่วงปีหน้าคาดว่าดัชนีอยู่ที่ 1,750 จุด ด้วยปัจจัยบวกจากภายในประเทศอย่างการเมืองไทยที่มีเสถียรภาพมากขึ้น การเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และอัตราการเติบโตของตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 15% ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ การเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ หากไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็อาจจะส่งผลให้ลดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติได้ โดยราคาน้ำมันในต่างประเทศจะเป็นปัจจัยลบต่อหุ้นไทยและต่างประเทศที่จะต้องติดตามกันต่อไป”นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าว
นายพงศ์พิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมศึกษาพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาว กัมพูชา และพม่าเพิ่มเติมมากขึ้น เพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเชียน (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 58 โดยปัจจุบันมีนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวที่อยู่ตามชายแดนติดกับประเทศไทยเริ่มทยอยเข้ามาลงทุนในกองทุนของบริษัทบางแล้ว
“สำหรับกองทุนที่นักลงทุนต่างชาติตามชายแดนไทยที่เข้ามาลงทุนในปัจจุบันให้ความสนใจกับการลงทุนผ่านกองทุนต่างๆ ของบริษัทจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และปีหน้าเป็นปีของ AEC ดังนั้น บริษัทต้องมีการศึกษาพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนเหล่านี้ให้มากขึ้นให้ตรงกับความต้องการของนักลงทุนมากขึ้น” นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าว
