นักวิเคราะห์กองทุนรวมบล.ฟิลลิป แนะนักลงทุนพักเก็บกองทุนน้ำมันและกองทุนทองคำเข้าพอร์ตไปก่อน หลังราคามีท่าทีที่จะปรับลดลงต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจสหรัฐฯและแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น ส่วนราคาน้ำมันนั้นยังปรับตัวผันผวนแบบขาลงต่อไปอีก
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund Super Mart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น มาได้บ้างจากข่าวการปรับเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำของสวิสฯแต่หลังจากมีการทำประชามติแล้ว ปรากฏว่าจะไม่มีการเพิ่มสัดส่วนถือครองแต่อย่างใด
ส่งผลให้แนวโน้มราคาทองคำยังคงปรับตัวลดลงอีกครั้งในเดือนนี้จากแรงกดดันของเศรษฐกิจที่ดีของสหรัฐและแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและอังกฤษที่กำลังจะปรับตัวสูงขึ้น ในกลางปีหน้า ดังนั้น เราแนะนำให้พักการลงทุนในทองคำออกไปก่อน
สำหรับราคาน้ำมันก็ยังไม่ดีขึ้นแม้ว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศจะดีขึ้น เนื่องจากว่าปริมาณน้ำมันที่ล้นตลาด จาการที่หลายประเทศยังคงผลิตน้ำมันออกมาตามปกติ และไม่มีทีท่าว่ากลุ่มโอเปกจะปรับลดการผลิตน้ำ มันลง ดังนั้นราคา น้ำมันในระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวผันผวนแบบขาลงต่อไปอีก ซึ่งเราแนะนำให้พักการลงทุนไปก่อน จนกว่าจะมีสัญญาณฟื้นตัวให้เห็น จึงลงทุนและเก็งกำไรในขาขึ้นได้
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐยังคงทำ new high ต่อเนื่อง หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีและยังคงมีแนวโน้มที่ดีอยู่ในปีหน้า แต่อาจจะมีความผันผวนในช่วงกลางปี หากมีแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ส่วนตลาดหุ้นจีนยังคงน่าลงทุนเนื่องจากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่เรื่อยๆ ถึงแม้การเติบโตอาจจะชะลอไปบ้าง แต่ราคาหุ้นยังคงถูกและน่าลงทุน
โดยกองทุนแนะนำในเดือนนี้ได้แก่ กองทุนหุ้นตามดัชนีของสหรัฐ S&P500 คือ ASP-S&P500 ,กองทุนยุโรปที่เป็นกองทุนแนะนำคือ KF-Europe, K-Europe และ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเราแนะนำกองทุน SCB NIKKEI 225 ในขณะที่ตลาดหุ้นจีน เราแนะนำซื้อสะสม ABCG ของ บลจ. อเบอร์ดีน
นายสานุพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบเดือน อยู่ที่ 1570 และแนวต้านที่ 1620 ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีได้แรงหนุนจาก LTF/RMF แต่การลงทุนในช่วงต้นปีอาจจะมีแรงขายของกองทุน LTF/RMF ที่ครบกำหนดออกมาบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีความผันผวนเกิดขึ้น แต่เราคาดการณ์ว่าจะเป็นแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น และกองทุนหุ้นที่เราแนะนำคือABSM และ KSET50 ส่วนกองทุน LTF/ RMF แนะนำ คือ ABLTF และ ABSC-RMF
โดยการส่งออกของไทยยังคงไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 % เท่านั้นและการคาดการณ์ปีหน้า GDP อาจจะโตได้ประมาณ 3-4 % ส่วนการประชุม กนง. ในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ก็น่าจะคงอัตรา
ดอกเบี้ยไว้ที่ 2% ต่อไปจนถึงสิ้นปีนี้ ปัจจัยบวกหลักในช่วงนี้น่าจะเป็นการที่นักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อกองทุน LTF/RMF มากขึ้น
ทั้งนี้การประชุมของกนง.ในวันที่ 17 ธันวาคมนั้นก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ว่าจะมีแนวทางในการปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นอย่างไรในปีหน้า ดังนั้นในระยะนี้การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนียั้งคงทำได้ แต่แนะนำให้ปรับเปลี่ยนจาการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว ไปเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นแทน เพื่อลดความผันผวนของดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น หลังจากการประชุมกนง.
สำหรับนักลงทุนที่อยากจะพักเงินไว้กับกองทุนตลาดเงินเพื่อหาจังหวะและโอกาสการลงทุนนั้นยังคงทำได้อยู่ โดยกองทุนตลาดเงินแนะนำคือ P-CASH ของ บลจ. ฟิลลิป และ FAM VF ของ บลจ. ฟินันซ่า
ส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่แนะนำคือ กองทุน KFSPLUS ของบลจ.กรุงศรี หรือกองทุน TMBMPLUS ของบลจ.ทหารไทย ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศก็ยังคงลงทุนได้แต่ว่าให้จับตาการขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED ในปีหน้า โดยกองทุนแนะนำคือ T-Globalbond และ TMBGF