xs
xsm
sm
md
lg

เคล็บลับการเลือกลงทุนในกองทุนประเภท LTF/RMF

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ที่มีรายได้ในประเทศไทยนับว่าอยู่ในอัตราที่สูงประเทศหนึ่ง ถ้าเทียบกับประเทศที่ไม่ใช่รัฐสวัสดิการในยุโรป อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2544 รัฐบาลได้มีนโยบายให้มีการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และต่อมาได้เพิ่มกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ในปี 2547 เพื่อช่วยลดภาระผู้มีเงินได้ โดยสามารถนำเงินลงทุนที่ซื้อผ่านกองทุนรวมข้างต้นมาคำนวณเพื่อการลดหย่อนภาษี และยังเป็นการสนับสนุนให้คนมีเงินออมไว้ใช้ในวัยเกษียณ ดังนั้น ผู้มีสิทธิ์และมีความสามารถในการออมควรใช้สิทธิ์ตรงนี้ให้เต็มที่ ซึ่งสิ่งที่ควรจะพิจารณาในการเลือกลงทุนมีดังนี้
1. ประเมินภาพรวมของเงินลงทุนทั้งหมดที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
การมองภาพรวมของเงินลงทุนของท่านทั้งหมดที่ลงทุนอยู่นั้น ต้องรวมสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เงินฝาก ตราสารหนี้ และตราสารทุน ว่าแต่ละสินทรัพย์มีสัดส่วนมูลค่าเท่าไร ทั้งนี้ การประเมินสัดส่วนดังกล่าวเพื่อนำไปประเมินความเสี่ยงของเงินลงทุนของท่านในภาพรวมว่ามีการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอแล้วหรือยัง รวมทั้งมีความเหมาะสมกับอายุหรือความต้องการใช้เงินในอนาคตหรือไม่ โดยถ้าประเมินแล้วท่านยังสามารถรับความเสี่ยงเพิ่มได้อีกก็ควรเน้นการเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ โดยสามารถลงทุนผ่านช่องทาง RMF/LTF ที่มีนโยบายตรงกับวัตถุประสงค์ของท่าน เพราะการเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นในระยะยาวแล้วจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่า ในทางกลับกันถ้าคิดว่าท่านมีความเสี่ยงสูงมากเกินไปในเงินลงทุนของท่านก็ควรหันมาเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล (ดูตารางเปรียบเทียบระดับความเสี่ยง)

2. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนที่จะนำเงินไปลงทุน
ในการศึกษาข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินมีรายละเอียดที่จำเป็น ได้แก่ นโยบายการลงทุนของกองทุนนั้น เช่น สินทรัพย์ที่กองทุนจะไปลงทุน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ประวัติการจ่ายเงินปันผล รวมทั้งความเสี่ยงและการจัดเรตติ้งของกองทุนนั้น จากบริษัทจัดอันดับที่ให้บริการทางด้านนี้ เช่น Morningstar Rating เป็นต้น โดยกองทุนที่นักลงทุนควรให้ความสนใจคือ กองทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอเมื่อเทียบกับความเสี่ยง (ความผันผวนของมูลค่า)

เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอแล้วการเลือกลงทุนก็ต้องเลือกให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยนักลงทุนที่ลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี และรับความเสี่ยงได้ต่ำควรเลือกลงทุนในกองทุนรวม RMF ที่มีนโยบายลงทุนเน้นในตราสารหนี้ หรือถ้าเป็นกองทุน LTF ก็เลือกลงทุนที่มีนโยบายลงทุนหุ้นในสัดส่วนที่น้อย (ไม่เกิน 70%) เป็นต้น

3. จังหวะในการตัดสินใจลงทุน
ตลาดหุ้นมีการแกว่งตัวขึ้นลงตามสภาวะต่างๆ เช่น เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การไหลเวียนของเงินทุน รวมทั้งผลการดำเนินงานที่ประกาศออกมา ซึ่งปัจจัยต่างๆ ข้างต้นนั้นไม่ง่ายนักที่จะคาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนั้นวิธีการลงทุนที่นิยมใช้สำหรับการเข้าลงทุนกองทุน RMF/LTF ที่เน้นการลงทุนในหุ้น คือ การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar Cost Average (DCA) ด้วยการวางแผนการซื้อในวงเงินที่เท่าๆ กันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกๆ เดือน จนครบตามจำนวนเงินที่ต้องการซื้อในหนึ่งปี ซึ่งทำให้นักลงทุนมีต้นทุนไม่สูงจนเกินไป และไม่ต้องสนใจสภาพตลาดหุ้นมากนัก

นักลงทุนที่มีเวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสาร จังหวะการลงทุนที่ดีคือซื้อเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลง โดยต้องมีหลักเกณฑ์ว่าปรับตัวลดลงเท่าไรถึงจะซื้อ และซื้อในสัดส่วนเท่าไร ซึ่งต้องมีวินัยสูง เพราะเมื่อตลาดปรับตัวลงแรงๆ นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าเข้าซื้อ นักลงทุนจึงควรมองการลงทุนใน RMF/LTF เป็นการลงทุนในระยะยาวมากกว่ากังวลถึงความผันผวนระยะสั้น

นักลงทุนที่ต้องการซื้อ RMF ที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ และยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ สามารถซื้อได้ตั้งแต่ต้นปี เพราะตราสารหนี้มีความผันผวนต่ำ และผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มลงทุน ดังนั้น ระยะเวลาที่ถือลงทุนก็มีผลต่อผลตอบแทนด้วย

4. การสับเปลี่ยนกองทุนหลังจากลงทุนผ่านไปแล้ว
จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดเงินและตลาดทุนค่อนข้างผันผวน ทำให้ราคาของสินทรัพย์มีความผันผวนตามไปด้วย หากนักลงทุนได้ประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระทบในระยะยาวนาน (มากกว่า 6 เดือน) เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงได้มาก นักลงทุนอาจลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น แล้วเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความผันผวนต่ำกว่าแทน นักลงทุนสามารถสับเปลี่ยนกองทุน RMF จากที่ลงทุนในหุ้นไปลงทุนในตราสารหนี้แทนเพื่อลดความเสี่ยงได้ แต่สำหรับกองทุน LTF สามารถลดได้บางส่วน คือลงทุน LTF ที่ถือหุ้นไม่เกิน 70% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรหาโอกาสในการสับเปลี่ยนการลงทุนมาอยู่ในกองหุ้นเมื่อประเมินสถานการณ์ต่างๆ แล้วว่าความเสี่ยงลดลงไปมากแล้ว เพราะการลงทุนในตราสารทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว

ข้อควรระวังในการลงทุน
การลงทุนใน RMF/LTF เพื่อประหยัดภาษีผู้ลงทุนจะต้องศึกษาเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น ต้องซื้อหน่วยลงทุน RMF ไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้ในแต่ละปีหรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาท และลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กบข.แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท โดยต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน สำหรับกองทุน LTF ที่เน้นลงทุนในตราสารทุนเป็นหลักนั้น ซื้อ LTF ปีไหนก็ลดหย่อนภาษีของปีนั้นในวงเงินไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี และต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี ส่วนจะประหยัดภาษีได้เท่าไร ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของแต่ละคน

โดยสรุปนักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนทั้ง RMF และ LTF เพราะนอกจากช่วยในการลดหย่อนภาษีแล้ว ยังเป็นการออมระยะยาวเพื่ออนาคตที่มั่นคง และมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อได้ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น