บลจ.กสิกรไทยเผยนักลงทุนไทย-เทศ แห่พักเงินกองตราสารหนี้ ดันเอ็นเอวี 2 กองทุนตราสารหนี้ K-MPLUS และ K-MONEY ทะลุ 2 แสนล้านบาท ชูจุดเด่นตอบโจทย์นักลงทุนพักเงินระยะสั้น แถมโอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก ล่าสุดจัดโปรโมชันใหม่ ลงทุนเบาๆ แค่ 500 บาท หวังให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น
นายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนมีความกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น หรือการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากแรงกดดันทางการเมืองโลก ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่หันมาพักเงินในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้มากขึ้น เพื่อรอจังหวะกลับเข้าลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป
ทั้งนี้ จากแนวโน้มดังกล่าวจึงส่งผลให้การลงทุนในกลุ่มกองทุนตลาดเงิน และกองทุนตราสารหนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามียอดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยสุทธิถึงกว่า 170,000 ล้านบาท
ส่วนกองทุนตราสารหนี้ของบริษัทเองถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเช่นกัน ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุน ณ วันที่ 13 สิงหาคมของกองทุนตราสารหนี้รวมกว่า 200,000 ล้านบาท โดยกองทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ได้แก่ กองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งมีมูลค่า NAV สูงถึง 102,506 ล้านบาท และกองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) ที่มีมูลค่า NAV 100,516 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ บลจ.กสิกรไทย ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นและกองทุนตลาดเงินของประเทศ
“กระแสตอบรับจากผู้ลงทุนในกองทุนตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นของ บลจ.มาจากการที่กองทุนสามารถตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องการพักเงินและลงทุนระยะสั้นได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังให้โอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำ อีกทั้งยังมีสภาพคล่องสูง โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ และจะได้รับเงินค่าขายคืนในวันทำการถัดไป ตั้งแต่เวลา 09.30 น. นอกจากนี้ผู้ลงทุนบุคคลธรรมดายังมีโอกาสรับผลตอบแทนแบบเต็มๆ โดยไม่ต้องเสียภาษี”นายจงรักกล่าว
นายจงรัก กล่าวอีกว่า จุดเด่นที่ทำให้กองทุน K-MPLUS ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดี คือ สามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการพักเงินตั้งแต่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป และคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยประมาณ 6 เดือน-1 ปี อีกทั้งยังสามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศถึงร้อยละ 50 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถรับความผันผวนจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นได้ แม้ว่าอาจทำให้มีความผันผวนของ NAV แบบวันต่อวันอยู่บ้างได้
ส่วนจุดเด่นของกองทุน K-MONEY เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการพักเงิน หรือลงทุนในระยะสั้นๆ ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ โดยกองทุนจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชน ที่มีอายุเฉลี่ย (Duration) ไม่เกิน 3 เดือน รวมทั้งมีการลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
นอกจากนี้เพื่อเป็นการมอบโอกาสในการลงทุนสำหรับผู้สนใจลงทุนในกองทุน K-MPLUS และ K-MONEY ล่าสุดบริษัทได้ทำการลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำเหลือเพียง 500 บาท จากเดิมที่ต้องลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำ
นายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนมีความกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น หรือการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากแรงกดดันทางการเมืองโลก ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่หันมาพักเงินในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้มากขึ้น เพื่อรอจังหวะกลับเข้าลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป
ทั้งนี้ จากแนวโน้มดังกล่าวจึงส่งผลให้การลงทุนในกลุ่มกองทุนตลาดเงิน และกองทุนตราสารหนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามียอดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยสุทธิถึงกว่า 170,000 ล้านบาท
ส่วนกองทุนตราสารหนี้ของบริษัทเองถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเช่นกัน ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุน ณ วันที่ 13 สิงหาคมของกองทุนตราสารหนี้รวมกว่า 200,000 ล้านบาท โดยกองทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ได้แก่ กองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งมีมูลค่า NAV สูงถึง 102,506 ล้านบาท และกองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) ที่มีมูลค่า NAV 100,516 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ บลจ.กสิกรไทย ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นและกองทุนตลาดเงินของประเทศ
“กระแสตอบรับจากผู้ลงทุนในกองทุนตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นของ บลจ.มาจากการที่กองทุนสามารถตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องการพักเงินและลงทุนระยะสั้นได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังให้โอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำ อีกทั้งยังมีสภาพคล่องสูง โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ และจะได้รับเงินค่าขายคืนในวันทำการถัดไป ตั้งแต่เวลา 09.30 น. นอกจากนี้ผู้ลงทุนบุคคลธรรมดายังมีโอกาสรับผลตอบแทนแบบเต็มๆ โดยไม่ต้องเสียภาษี”นายจงรักกล่าว
นายจงรัก กล่าวอีกว่า จุดเด่นที่ทำให้กองทุน K-MPLUS ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดี คือ สามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการพักเงินตั้งแต่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป และคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยประมาณ 6 เดือน-1 ปี อีกทั้งยังสามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศถึงร้อยละ 50 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถรับความผันผวนจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นได้ แม้ว่าอาจทำให้มีความผันผวนของ NAV แบบวันต่อวันอยู่บ้างได้
ส่วนจุดเด่นของกองทุน K-MONEY เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการพักเงิน หรือลงทุนในระยะสั้นๆ ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ โดยกองทุนจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชน ที่มีอายุเฉลี่ย (Duration) ไม่เกิน 3 เดือน รวมทั้งมีการลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
นอกจากนี้เพื่อเป็นการมอบโอกาสในการลงทุนสำหรับผู้สนใจลงทุนในกองทุน K-MPLUS และ K-MONEY ล่าสุดบริษัทได้ทำการลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำเหลือเพียง 500 บาท จากเดิมที่ต้องลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำ